สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เตรียมยกระดับกำกับการลงทุนซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน โดยได้ออกเอกสารรับฟังความคิดเห็น พร้อมเปิดหลักเกณฑ์ว่านักลงทุนจะต้องมีรายได้เกิน 1 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์ครอบครอง 10 ล้านบาท สร้างทั้งความตื่นตัวและการแตกตื่นในหมู่นักลงทุนผู้รักความเสี่ยงสูงบนหน้ากระดาน พร้อมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากำกับกันขนาดนี้เกินไปหน่อยไหม
โดยล่าสุดในช่วงเย็นวันที่ 3 มีนาคม ทางกลต. ได้เปิดไลฟ์เฟซบุ๊กแถลง “เจาะประเด็น การกำหนดคุณสมบัติผู้ลงทุนคริปโทฯ” โดยทาง กลต. ได้แถลงและตอบคำถามถึงประเด็นการ Hearing ที่กำลังเปิดรับความคิดเห็นอยู่นี้
จอมขวัญ คงสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายระดมทุน สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ปัจจุบันทาง กลต. ยังไม่มีการกำหนดหนักเกณฑ์กำกับการลงทุนนักลงทุน Cryptocurrency แต่อย่างใด ตอนนี้เป็นแค่ช่วงเปิดรับฟังความคิดเห็น หรือการทำ Hearing เท่านั้น ซึ่งการออกมาเคลื่อนไหวของ กลต. ในครั้งนี้ เกิดจากความเป็นห่วงนักลงทุนที่อาจจะไม่มีความเข้าใจความผันผวนสูงของตลาด และเทรดตามกระแส เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาด Cryptocurrency ไม่มี Traditional Asset อ้างอิง ทำให้ราคาขึ้นและลงสูงได้ในระยะเวลาสั้นๆ
จอมขวัญกล่าวถึงข้อมูลตัวเลขสถิติมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัล 3 ปีที่ผ่านมาด้วยว่า
ในปี พ.ศ.2561 มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี พ.ศ.2562 มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี พ.ศ.2563 มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ใน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
“อยากให้เห็นว่าความผันผวนมันรุนแรงและรวดเร็วแค่ไหน คริปโตฯ ก็เช่นกัน เพราะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเด็นสำคัญคือ ไม่มีใครรู้ว่ามูลค่าแท้จริงของคริปโตฯ เป็นเท่าไหร่ เพราะมูลค่าขึ้นกับคนทั่วไป ที่จะยอมรับหรือเห็นคุณค่า และพึงพอใจในตัวมัน ทุกคนเข้ามาซื้อขายได้ 24 ชม. ไม่มีปิดตลาด ไม่มีเพดานราคา การขึ้น 20-50% เป็นเรื่องปกติ”
โดยในปี พ.ศ.2562 มีผู้เปิดบัญชี Cryptocurrency จำนวน 2 แสนกว่าบัญชี แต่ปัจจุบัน 4.8 แสนบัญชีแล้ว และมีผู้ลงทุนที่อายุน้อยกว่า 20 ปี เข้ามาเล่นด้วย ทาง กลต. เลยเกิดความไม่มั่นใจ 2 ประเด็น คือ
1.ความรู้ ความเข้าใจผู้ลงทุน ความไม่เข้าใจสิ่งที่ลงทุนจะมีเกิดเสี่ยงที่มากที่สุด เพราะคริปโตฯ ผันผวนสูงมาก เป็นห่วงผู้ลงทุนบางราย ที่กลัวตกขบวนหรือตามกระแส และไม่ได้ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเทรด
2.ความสามารถในการรับความเสี่ยง ถือเป็นเรื่องสำคัญสุดในการลงทุนคริปโต กลัวว่าเกิดการลงทุน แล้วขาดทุนหมด หรือลงทุนด้วยเงินร้อน เพราะเห็นผลตอบแทนสูง
“ไม่อยากให้เกิดการเสียหายการเทรดมากเกินไป และไม่อยากให้ค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบการไม่สูงเกินไป ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้นักลงทุนต้องไปเทรดตลาดมืดนอกประเทศ และเสี่ยงเจอการ scam แต่สำคัญที่สุดสำหรับ กลต. คือผู้ลงทุนมีความเข้าใจในการลงทุน” จอมขวัญกล่าว
ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ.2561 ทาง กลต. ได้มีการออก พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งระบุว่าคริปโตฯ เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เป็นสื่อกลางการระดมทุน แต่ไม่ได้มีการกำกับนักลงทุนแต่อย่างใด ซึ่งจอมขวัญให้เหตุผลว่า
“ตอนที่เราออกพรก. ปี 61 เรามองว่าผู้ลงทุนคือคนที่เป็นแฟนพันธ์ุแท้ และมีความรู้ความผันผวนตลาด และเข้าใจมันดี เราเลยไม่เน้นการคุ้มครองผู้ลงทุนเท่าไหร่ แต่พอผ่านมา เราก็มีการมอนิเตอร์ พบว่าการเปิดบัญชีเพิ่มมากขึ้นในปี พ.ศ.2563” นั่นจึงเป็นเหตุผลถึงที่มาของเอกสารรับฟังความคิดเห็นที่เกิดขึ้น
ซึ่งหลักเกณฑ์นักลงทุนคริปโตฯ ที่เสนอมาจากทางกลต. ระบุว่า นักลงทุนจะต้องมี “ฐานะ” ควบคู่ไปกับ “ความรู้” เช่น มีรายได้ (ไม่รวมคู่สมรส) 1 ล้านบาทต่อปี มีสินทรัพย์ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ 10 ล้านบาท/ มีประสบการณ์การซื้อขายคริปโตฯ 2 ปีขึ้นไป รวมถึงการจะต้องทำเทสทดสอบความรู้กับผู้ให้บริการเทรด และต้องมีคะแนนเกิน 80% จึงเปิดบัญชีได้เป็นต้น
ซึ่งทาง กลต. ย้ำว่า ยังไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์อะไรออกมา และยังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจนถึง 27 มีนาคมนี้บนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งถือว่าเป็นการ Hearing ที่ได้รับความสนใจครั้งประวัติศาสตร์ของ กลต. เลยทีเดียว เพราะปัจจุบันมีกว่า 6 พันความเห็นแล้ว
โดย รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวย้ำว่า ทุกความคิดเห็นจะพูดรับฟังและนำไปพิจารณาในการกำหนดหลักเกณฑ์
“ยืนยันว่าถูกสอนมาเสมอว่าต้องรับฟังความเห็น มาสังเคราะห์สรุป และนำเสนอผู้มีอำนาจพิจารณาต่อไป ยืนยันอีกครั้งว่าทุกความเห็นคือความร่วมมือ” รื่นวดี กล่าว
อย่างไรก็ตาม คอมเมนต์บนไลฟ์เฟซบุ๊กของกลต. ค่อนข้างดุเดือด โดยคอมเมนต์พุ่งไปกว่า 5.5 พันความเห็น และมีคำถามจากทางบ้านส่งเข้ามา และหลายคำถามยอดฮิต ได้รับการตอบคำถามจากทางเจ้าหน้าที่กลต. คือ ‘นภนวลพรรณ ภวสันต์’ ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงาน ก.ล.ต. และ ‘สุรศักดิ์ ฤทธิ์ทองพิทักษ์’ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับตลาด สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่ง The MATTER คัดเลือกคำถามและคำตอบที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน
จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเราเป็นผู้ที่ลงทุนคริปโตฯ มาแล้วเกินสองปี?
นถนวลพรรณ: ถ้ามีประสบการณ์การลงทุนคริปโตฯ จะเคยเทรดที่ไหนก็ตาม แค่แสดงหลักฐานกับผู้ประกอบการว่า เราเคยเทรดมาแล้ว 2 ปี
กรณีเป็นนักลงทุนไม่ผ่านหลักเกณฑ์ แต่มีบัญชีเทรดคริปโตฯ อยู่แล้ว จะทำอย่างไร เทรดต่อได้ไหม?
นภนวลพรรณ: คนที่มีบัญชีอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ไม่ถึงเกณฑ์นักลงทุน บัญชีที่มีอยู่ไม่ต้องขายออก ถือต่อได้ แต่การซื้อเพิ่มนั้น นักลงทุนจะต้องมีตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเกณฑ์ยังไม่ได้ถูกกำหนดว่าเท่าไหร่ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการ Hearing
เพราะราคาบิตคอยน์พุ่งแตะหนึ่งล้านบาท กลต. จึงเข้ามากำกับเพื่อชะลอนักลงทุน จริงหรือไม่?
สุรศักดิ์: เราไม่ได้ชะลอคนเมื่อมันแตะล้าน แต่กังวลคนที่เข้ามาแล้วไม่เข้าใจธรรมชาติของตลาด เราจึงอยากเข้ามากำกับตรงนี้
ถ้าต้องแสดงสินทรัพย์ ใครเก็บข้อมูล และถ้าข้อมูลโดนแฮ็ก ใครรับผิดชอบ?
สุรศักดิ์: ทาง กลต. กำหนดว่าผู้ประกอบการต้องให้การคุ้มครองความเสี่ยงไซเบอร์ และกลต. จะให้ผู้ประกอบการทำตามมาตรฐานระดับโลก ไม่ให้เกิดการแฮ็กขึ้นมาได้
การเทรดทองหุ้น ทำไมไม่ต้องทดสอบความรู้ แต่คริปโตต้องทดสอบ?
สุรศักดิ์: ตลาดหุ้นเกิดขึ้นกว่า 30 ปี และทองก็เป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว และมีการให้ความรู้มายาวนาน มีตำราในการเทรดมานานแล้ว ขณะที่คริปโตฯ มันเป็นของใหม่
ทราบจุดประสงค์บิตคอยน์ไหม ว่าเกิดมาเพื่ออะไร?
นภนวลพรรณ: บิตคอยน์เกิดขึ้นเพื่อตัดตัวกลาง และไม่อยากให้ใครมากำกับ แต่หากดูแทรนด์จากต่างประเทศ หลายประเทศก็ออกมาเตือนแล้ว อย่างฮ่องกงก็มีการทำ consult paper ลงทุนรายย่อยเหมือนกัน หลักคิดถูกจริงไหม
ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า หน้าตาของ ‘สเปคนักลงทุน Cryptocurrency ‘ จะออกมาประมาณไหนกัน ซึ่งกลต. สัญญาว่าไม่นานเกินรอ
ย้อนกลับไปดูไลฟ์แถลงได้ที่ : https://www.facebook.com/sec.or.th/videos/133168238710465/