ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดมา 1 วันเต็มๆ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานพลาสติกที่ ซ.กิ่งแล้ว จ.สมุทรปราการ โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า สามารถควบคุมเพลิงได้เกือบทั้งหมดแล้ว ทำเอาหลายคนต่างโล่งใจไปตามๆ กันโดยเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่ที่ต้องอพยพมาอยู่ศูนย์ช่วยเหลือ ที่คาดหวังว่าจะได้กลับไปยังที่พักอาศัยของตัวเองเร็วๆ
แต่อย่างที่รู้กันว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ไม่ได้เหมือนเพลิงไหม้ทั่วไป เพราะด้านในโรงงานมีสารเคมีหลายชนิดที่เป็นอันตราย และต่อให้จะสามารถดับไฟทั้งหมดได้แล้ว แต่ก็สารพิษเหล่านี้ก็ยังปนเปื้อนในอากาศ น้ำ และบ้านเรือน โดยเฉพาะจุดที่อยู่ใกล้โรงงาน
คำถามที่ตามมาคือ อะไรคือสิ่งที่เราต้องระวัง และจะรับมือกับผลกระทบจากสารพิษเหล่านี้ได้อย่างไร
The MATTER ได้โทรไปพูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และนักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึงผลกระทบ และการเตรียมตัวกลับมาอยู่ในพื้นที่อาศัยเดิม รวมถึงประชาชนที่อยู่ไกลจุดเกิดเหตุว่าควรต้องระวังสารปนเปื้อนทางอากาศอย่างไรบ้าง
โดย อ.วีรชัย อธิบายว่าแม้ไฟจะดับลง แต่สารเคมีที่ยังอยู่ในจุดเกิดเหตุยังมีค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะแบ่งเป็นสารบริสุทธิ์ กับสารที่เกิดหลังการเผาไหม้เป็นควัน สำหรับสารบริสุทธิ์ ตัวหลักๆ คือสไตรีน มอนอเมอร์ (Styrene monomer) ซึ่งหลังจากเกิดการเผาไหม้ มันจะทำปฏิกิริยาแล้วกลายเป็นสารพิษ ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ อาจทำให้เป็นหมัน อีกตัวคือ สารทำละลายอินทรีย์ (Organic Solvents) สารเคมีทั้ง 2 ตัวจะยังคละคลุ้งอยู่ในจุดเกิดเหตุ และจะมีอายุสลายตัวนานประมาณ 5-6 ปี
แต่เมื่อเกิดการเผาไหม้เป็นควัน สารเคมีเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นไฮโดรคาร์บอน หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารเหล่านี้จะเป็นสารประกอบ จะมีอายุน้อยกว่าสารบริสุทธิ์ ซึ่งมีอายุสุทธิประมาณ 1 ปี แต่ถ้าไปเจอปัจจัยอื่นๆ เช่นความชื้น แสงแดด ก็อาจทำให้อายุของพวกมันสั้นลง
ก่อนที่จะอธิบายถึงเรื่องผลกระทบ อ.วีรชัยกล่าวว่า ตามมาตรการความปลอดภัย ก่อนจะปล่อยให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษจะต้องตรวจสอบก่อนว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณสะสมของสารเกินกว่าที่มนุษย์จะรับได้หรือไม่ โดยจะมีการตรวจทั้งสภาพอากาศ น้ำ และดิน นั่นหมายความว่า หากทางการอนุญาตให้กลับเข้าไปในพื้นที่ แสดงว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่งแล้ง
สำหรับเรื่องผลกระทบหลังเกิดเหตุไฟไหม้จะแบ่งออกเป็นพื้นที่ใกล้ และพื้นที่ไกล สำหรับพื้นที่ใกล้โรงงาน ในรัศมีประมาณ 5-10 กิโลเมตร สิ่งที่ประชาชนควรระวังคือการสูดดมกลิ่นและไอระเหยของสารเคมีที่ยังหลงเหลือ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง หากมีการสูดดมเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกาย และหากร่างกายไม่สามารถขจัดออกไปได้ตามกระบวนการเผาผลาญปกติก็จะส่งผลในระยะยาว เช่น เกิดมะเร็ง
แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ก่อนจะมีอนุญาตให้กลับเข้าในพื้นที่ นั้นผ่านการตรวจสอบสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว แต่หากใครยังกังวลเรื่องความปลอดภัย ช่วงที่อยู่ในบ้าน การเปิดแอร์หรือเครื่องฟอกอากาศก็จะช่วยได้ แต่ถ้าออกจากบ้านไปยังพื้นที่รัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากโรงงาน แนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย N95 จะช่วยได้มากขึ้น ส่วนการทำความสะอาดบ้าน อ.วีรชัยกล่าวว่า สามารถใช้ดีเทอร์เจน (Detergent) ซึ่งเป็นสารทำความสะอาดมาชะล้างได้ตามปกติ
สำหรับประชาชนที่อยู่ห่างไกลจุดเกิดเหตุ อาจได้รับผลกระทบจากไฮโดรคาร์บอน ในขนาดที่เล็กเท่า PM2.5 แต่มันจะพ่วงอาวุธที่ชื่อ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs), สารทำละลายอินทรีย์, หรือ PAHs มาด้วย ซึ่งมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ถ้ารับในปริมาณสูง โดยสารเหล่าจะแฝงมาในอากาศ น้ำฝน น้ำค้าง ดังนั้นหลังจากนี้แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งเหล่านี้โดยตรง โดยเฉพาะช่วงนี้ เพราะมีโอกาสจะปนเปื้อนสูง
อีกประเด็นที่หลายคนกังวลกันคือ ‘การปนเปื้อนในน้ำ’ ทั้งประปา และแหล่งธรรมชาติต่างๆ ว่ามีความปลอดภัยที่จะใช้หรือไม่ อ.วีรชัย บอกว่า ในส่วนของน้ำประปา ต้องดูว่าหมอกควันมันลอยไปถึงอ่างเก็บน้ำหรือไม่ ถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วมีฝนตกลงมาก็มีโอกาสที่จะปนเปื้อนอย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้ การประปานครหลวงมีหน่วยตรวจสอบสารต่างๆ ในน้ำประปาอยู่แล้ว หากพบว่าเกินมาตรฐานความปลอดภัย ก็จะมีการส่งน้ำกลับไปบำบัดใหม่ผ่านระบบกรองที่มีมาตรฐานสูงในการตรวจจับสารพิษเหล่านี้ ส่วนการปนเปื้อนผ่านการซึมลงดิน ไปทางท่อน้ำแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นค่อนข้างแน่ใจได้ว่าน้ำประปาปลอดภัย
สำหรับแหล่งน้ำธรรมชาติ อ.วีรชัย กล่าวว่า หากฝุ่นควันเหล่านี้โดนน้ำฝนชะล้างลงพื้นดิน หรือแหล่งน้ำต่างๆ อาจจะพบการปนเปื้อนอยู่บ้าง ซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือปัญหาระบบนิเวศ ปลาและสัตว์น้ำต่างๆ ในลำคลองก็มีโอกาสจะรับสารพิษเข้าไปด้วย ดังนั้นแนะนำให้ประชาชนเลี่ยงนำปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำใกล้เคียงมากินในช่วงนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนำความสูญเสียให้ผู้คนมากมาย ไม่เพียงแต่ชีวิตของหน่วยกู้ภัยที่เสียสละ แต่ยังหมายถึงสภาพจิตใจ ทรัพย์สิน ไปจนถึงสุขภาพระยะยาวของคนในพื้นที่ แม้ปัจจุบัน ไฟใกล้จะดับลงทั้งหมดแล้ว แต่การเยียวยาจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งเราต้องมาจับตาดูกันต่อไปว่าทั้งทางผู้ประกอบการ และภาครัฐจะมีมาตราการใดๆ มาจัดการปัญหาที่ยังรออยู่
อ้างอิงจาก
https://www.thairath.co.th/news/local/central/2133370
https://www.prachachat.net/general/news-706537
https://mgronline.com/crime/detail/9640000065384
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/947228