เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของการภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรก (31 ส.ค.2564) เลยสำหรับประเด็น ‘เปิดโปงปฏิบัติการ IO ภาคจบ’ จากณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่รวบรวมเอกสาร หลักฐาน และข้อมูลการปฏิบัติงานของกลุ่ม IO มาครบถ้วน เพื่อชี้ให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกำลังใช้ประโยชน์จากหน่วยงานรัฐที่กินภาษีประชาชน มาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง
แต่เนื่องจากการอภิปรายของณัฐชา เกิดขึ้นในเวลาค่อนข้างดึกของวันที่ 31 ส.ค.2564 ทำให้หลายๆ คนอาจไม่ได้รับชมสดๆ
The MATTER ไม่อยากให้ทุกๆ คนพลาดข้อมูลสำคัญ จึงขอสรุปมาให้อ่านกันว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อคืนนี้
#เครือข่ายไอโอและคนที่ได้ประโยชน์
1.) ณัฐชาเปิดการอภิปรายมาด้วยการตั้งคำถามว่า “เป็นธุระกงการอะไรของหน่วยความมั่นคงที่ต้องใช้กำลังพลมาเพื่อช่วยเหลือหน่วยบริหาร” ซึ่งหน่วยบริหารที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง จากนั้นก็ไล่เรียงรายละเอียดต่างๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานี้
2.) เขาได้เริ่มต้นด้วยการเปิดสไลด์ที่แสดงรายละเอียดหน้าที่การปฏิบัติงานของ IO กองทัพ ซึ่งมีทั้ง ‘งานขาว’ เช่นการ PR นายกฯ ออกไปปฏิบัติหน้าที่ ‘งานเทา’ คอยแก้ตัวและแก้ต่าง และ ‘งานดำ’ คอยปล่อยข้อความ hate speech แชร์ fake news
3.) ณัฐชายังตั้งข้อสังเกตว่า แอคเคาท์ทวิตเตอร์ Narongpam Jittkaewta ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวการใหญ่ในการกระจายภารกิจ IO ไปให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ย่อยๆ คนอื่นๆ ซึ่งแอคเคาท์นี้มีผู้ติดตามผู้ 3.2 หมื่นคน เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดผู้ติดตามจะพบว่ามีคนจากกองทัพทุกหน่วยงาน ซึ่งคอยแชร์ข้อความ คอมเมนต์ที่มีทิศทางเดียวกันคือ ด้อยค่าความเห็นของฝ่ายตรงข้าม และยกย่องการทำงานของรัฐบาลและกองทัพ
4.) อีกหนึ่งหลักฐาน ก็คือ เอกสารอบรมผู้ปฏิบัติการข่าวของหน่วยงานหนึ่งในกองทัพ โดยระบุว่า จะมีการส่ง sim card เฉพาะไปให้ผู้ปฏิบัติงาน แนวทางการรักษาความปลอดภัยเอกสารลับต่างๆ รวมถึงมีการแบ่งหน้าที่ปฏิบัติงานชัดเจน เช่น กรมทหารราบที่ 3 ดูแลเพจจอมยุทธ, กรมทหารราบที่ 8 ดูเพจเรื่องงานไม่ขยับเรื่องกินตับขอให้บอก และราบที่ 16 ดูเพจชาวไทยร่วมมือ เป็นต้น
5.) ไม่เพียงแต่แนวทางปฏิบัติงานเท่านั้น ยังมีการมอบ ‘รางวัล’ ให้หน่วยงาน-บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเยี่ยม เช่น กรมทหารราบที่ 3 บุคลากรที่มีผู้ติดตามในออนไลน์เยอะสุด “จ่าสิบตรีxxx xxxx” หรือ กองพันทหารช่างที่ 201 กรมทหารช่างที่ 2 หน่วยสนับสนุนการจัดตั้งห้องปฏิบัติการข่าวสาร “เครือข่ายนักรบไซเบอร์” ดีเยี่ยม
6.) ณัฐชามองว่า ขบวนการเหล่านี้ นายกฯไม่มีทางที่จะไม่รับรู้ พร้อมเปิดภาพห้องปฏิบัติการ IO ที่คอยชี้เป้าเฟซบุ๊กเพจต่างๆ ที่ต้องเข้าไปโต้ตอบ และภาพการประชุมวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกใน กทม. ที่มี พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ซึ่งก็มีความสนิทชิดเชื้อกับนายกฯ มาโดยตลอด ร่วมการประชุมด้วย
“ดังนั้น นายกฯ จะปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เคยรับรู้เรื่องหล่านี้ ทั้งที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติงานทั้งหมดเต็มๆ”
7.) ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมที่เขียนเรียกว่าเป็นเรื่อง ‘เลวซ้อนเลว’ เพราะการให้นายทหารระดับล่างมาปฏิบัติหน้าที่ IO มีการประจำการ 24 ชั่วโมง ต้องรายงานผลทุก 18.00 น. โดยสัญญาว่าจะให้เบี้ยเลี้ยง 240 บาท/วัน ตกเดือนละประมาณ 7,500 บาท แต่ความจริงกลับได้เพียง 1,500 บาท
8.) ในขบวนการ “เลวซ้อนเลว” มีการจัดฉากรับเบี้ยเลี้ยง โดยณัฐชาอ้างว่า มีพลทหารซึ่งอยู่ในเหตุการณ์บอกมาว่า มีการต่อแถวเข้าคิวรับเบี้ยเลี้ยงจริง เซ็นชื่อจริง แต่หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ต้องคืนเงินทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่มีเอกสารหลุดออกมาว่ามีการเซ็นชื่อรับเบี้ยเลี้ยงแทนทหารหลายนาย โดยที่พวกเขาไม่เคยเซ็นชื่อเหล่านั้นเองเลย
9.) ณัฐชายังเปิดบันทึกข้อความในวันที่ 6 ก.ค.2564 เรื่องขออนุมัติการอบรมการปฏิบัติงานการปฏิบัติการข่าวสารฯ ให้กับเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน.กองทัพภาคที่ 2 (ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน) จาก 20 จังหวัด โดยแบ่งเป็นจังหวัดละ 5 คนเพื่อมาอบรบการปฏิบัติหน้าที่ IO โดยระบุว่า ตอนนี้ศูนย์ปฏิบัติการ IO ของกองทัพแต่ละภาคกำลังมีภารกิจกำลังที่จะส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เรียกว่า ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ซึ่งก็คือ กอ.รมน.
10.) ทำไมต้องกังวลเรื่อง กอ.รมน. และทำไมเรียกว่ารัฐซ้อนรัฐ?
ณัฐชา อธิบายว่า โครงสร้าง กอ.รมน. หรือชื่อเต็ม ‘กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร’ ออกแบบมาเพื่อดูแลและปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ได้อย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนของพลเรือนและทหาร ทั้งในส่วนกลางและแต่ละจังหวัด อีกทั้งยังมี ‘ผู้อำนวยการของ กอ.รมน.’ คอยทำงานให้กับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ นายกฯ ประยุทธ์ คนเดียวกันนั่นเอง (นายกฯ จะเป็นผู้อำนวยการของ กอ.รมน. โดยตำแหน่ง)
11.) สิ่งที่น่ากังวลและน่าสังเกตคือ ในปี พ.ศ.2565 กอ.รมน.ได้ของบประมาณในส่วนของการกำลังพลและการดำเนินงาน 3.7 พันล้านบาท โดยระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นการเบิก ‘เงินราชการลับ’ และใช้จ่ายเพื่อรักษาความมั่นคง ซึ่งหน่วยงาน กอ.รมน.เวลาทำเรื่องเบิกทำตามปกติ แต่เวลาชี้แจงเป็นงายราชการลับ คำถามที่ตามมาคือเงินส่วนนั้นถูกใช้ไปกับภารกิจอะไร?
12.) และอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปคือ กอ.รมน. ได้ของบประมาณอีก 361 ล้านบาท เพื่อพัฒนา big data แพลตฟอร์มด้านความมั่นคง ทำข้อมูลแผนผังประชากรว่าประชาชนคนนี้มีปืนกี่กระบอก รถกี่คัน ข้อมูล DNA เลยเถิดไปถึงข้อมูลโครงข่ายใบหน้าที่จะเชื่อมกับ CCTV ซึ่งอาจจะสรุปได้ว่านี่ภารกิจที่จะมารับช่วงต่อเป็นภารกิจ IO ที่จะต้องรู้ข้อมูลของประชาชนทุกคน
13.) ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ต้องติดตามเป็นกรณีพิเศษ (watchlist) ซึ่งล้วนอยู่ฝ่ายตรงข้ามประยุทธ์ และระบบเผด็จการที่เขาสร้างโครงข่ายขึ้นมา อีกทั้งยังมีการระบุชัดเจนว่า หน่วยงาน A ติดตามคนนี้ หน่วยงาน B ติดตามคนนี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่อุปทานขึ้นเอง เพราะมีหลักฐานเป็นรายชื่อผู้ที่ถูกติดตามชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรคก้าวไกล เช่น รังสิมันต์ โรม, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร คนจากคณะก้าวหน้า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วาณิช เป็นต้น ซึ่งการติดตามข้อมูลนี้ครอบคลุมทั้งข้อมูลบ้านเลขที่ บุคคลในครอบครัว เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว เลขทะเบียนรถ สื่อโซเชียล ไปจนถึงภาพถ่ายการปรากฏตัวในแต่ละที่
14.) ส.ส.ณัฐชาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า หากปล่อยให้ กอ.รมน.ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ต่อไป ภารกิจกินรวบทั้งประเทศคงจะเป็นจริงในไม่ช้า เพราะมันกำลังคืบคลานเข้าไปแทรกซึมหน่วยงานต่างๆ คอยทำหน้าที่ขัดขวาง และด้อยค่าความเห็นของประชาชน
#Recap #Politics #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #TheMATTER