ในรอบปีที่ผ่านมา คุณรู้สึกว่าคุณเห็นข่าวปลอมบน Facebook มากขึ้นไหม เรื่องนี้อาจมีคำตอบ เพราะงานวิจัยจากสหรัฐฯ พบว่า ใน ค.ศ.2020 ข่าวปลอมบน Facebook มียอดการมีส่วนร่วมทั้ง ไลค์ แชร์ และการมีปฏิสัมพันธ์ มากกว่าข่าวจริงถึง 6 เท่าตัว
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐฯ ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกรอนอบล์ของฝรั่งเศส พบว่าตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมของ ค.ศ.2020 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ.2021 บทความต่างๆ ที่ให้ข้อมูลผิดๆ หรือข่าวปลอม มียอดไลค์ แชร์ และการมีปฏิสัมพันธ์สูงกว่าบทความที่มีข้อมูลที่ถูกต้องกว่า 6 เท่าตัว
“มันช่วยชี้ให้เห็นถึงหลักฐานที่มีเพิ่มมากขึ้นว่า แทนที่จะมีการควบคุมให้เบาบางลง ข้อมูลผิดๆ กลับมีที่ทางของมันอย่างง่ายดาย และเป็นข้อมูลที่ผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้บน Facebook” รีเบคกาห์ ทรอมเบลอ หัวหน้าสถาบันข้อมูล ประชาธิปไตย และการเมือง ของมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันกล่าวถึงสิ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้พบ
จากตัวอย่าง 2 พันกว่าเพจ แทนที่ผู้อ่านบน Facebook จะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เช่นจากทาง CNN หรือองค์การอนามัยโลก กว่า 6 เท่าตัวของผู้อ่านกลับเข้าถึงข้อมูลข่าวปลอม ตั้งแต่เรื่องวัคซีน COVID-19 ไปจนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ซ้ำร้าย งานวิจัยยังระบุอีกว่า Facebook กลับมีการให้ผลตอบแทน แก่ผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ลงบนแพลตฟอร์มของพวกเขาด้วย
งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า จากข้อมูลทางสถิติ เพจ Facebook ที่มีแนวคิดเป็นพวกฝ่ายขวา มีแนวโน้มที่จะเผยแพร่ข่าวปลอมมากกว่า นอกจากนี้ มีงานวิจัยเมื่อเดือกรกฎาคมที่ผ่านมาเปิดเผยว่า 9 จาก 15 เพจยอดฮิตของ Facebook เป็นเพจที่เผยแพร่ข้อมูลปลอมเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งถูกแชร์ส่งต่อไปกว่าแสนครั้ง
อย่างไรก็ดี Facebook ได้ออกแถลงถึงเรื่องดังกล่าวว่า งานวิจัยอาจไม่ได้เปิดเผยข้อมูลที่เป็นภาพรวม “รายงานชิ้นนี้ลงไปดูแค่ว่า ผู้คนมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของเพจอย่างไร โดยมันถูกแทนด้วยภาพของเนื้อหาจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับเนื้อหาทั้งหมดที่มีอยู่บน Facebook” โจ ออสบอร์น โฆษก Facebook แถลงอ้างว่า ยอดการเข้าถึงบน Facebook ไม่ได้หมายความว่าจริงๆ แล้วมีคนอ่านมันมากเท่าไหร่
ออสบอร์นอ้างอีกว่า Facebook มีพันธมิตรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกว่าอีก 80 แห่ง ซึ่งครอบคลุมเนื้อหากว่า 60 ภาษา ซึ่งเขากล่าวย้ำว่า Facebook พยายามจัดแยก และลดข้อมูลผิดๆ ออกจากแพลตฟอร์มของพวกเขา
ทั้งนี้ ทรอมเบลอได้ออกมาตอบโต้ต่อข้ออ้างดังกล่าวของ Facebook เรื่องยอดการเข้าถึงไม่เท่ากับยอดการเห็นว่า Facebook เองก็ไม่ยอมเปิดเผยว่ามียอดคนเห็นเนื้อหาของพวกเขาเท่าไหร่ เพราะทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับภายในบริษัท ข้อกล่าวอ้างของ Facebook ดังกล่าวจึงดูเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ค่อยได้ ทรอมเบลอระบุต่อไปอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ Facebook จะต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลที่เป็นอิสระ และคำนึงถึงความปลอดภัยโดยรวมของทุกคน
อ้างอิงจาก
https://www.washingtonpost.com/technology/2021/09/03/facebook-misinformation-nyu-study/
#Brief #TheMATTER