ต้องยอมรับว่าเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟนที่เป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสารแล้ว เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มีฟังก์ชั่นแทบครอบคลุมทุกการใช้ชีวิต และหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ตีตลาดผู้บริโภคได้ไม่น้อยก็คือ Samsung โดยล่าสุดได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ออกมา 2 รุ่น อย่าง Galaxy Z Fold3 5G และ Galaxy Flip3 5G เมื่อเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งสร้างปรากฏการณ์ทำยอดจองภายในหนึ่งเดือนพุ่งสูงถึง 8 เท่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้ Samsung เพิ่มขึ้นถึง 30%
แม้การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนหน้าจอพับ โดยเฉพาะในส่วนสินค้าพรีเมียมจะมีบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังมาลงเล่นไม่น้อย แต่ชื่อ Samsung ก็ยังเป็นตัวเลือกต้นๆ ที่คนเล่นสมาร์ทโฟนมักพิจารณาเมื่อมองหาสมาร์ทโฟนมาใช้งาน จนนำมาสู่กระแสตอบรับที่ดีของสมาร์ทโฟน 2 รุ่นล่าสุดจาก Galaxy Z Series ทั้งในไทยและทั่วโลก
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Samsung วางแผนพัฒนาสินค้าและทำการตลาดอย่างไรจึงตีตลาดสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ทั้งที่ต้องแข่งขันจากแบรนด์ดังมากมาย แล้ว ‘จุดเด่น’ ที่ดึงดูดลูกค้าแบรนด์อื่นให้ย้ายค่ายมาใช้ Samsung นั้นคืออะไร
สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานองค์กรกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เผยถึงกลยุทธ์ในการปั้น Galaxy Z สองรุ่นล่าสุดสู่การเป็นผู้นำสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นสำรวจตลาด ตลอดจนพัฒนาออกมาได้สำเร็จและสร้างการตอบรับจากทั่วโลก
หากพูดถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มของการใช้สมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้น เดิมที Samsung ได้เริ่มเปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เมื่อปี พ.ศ.2562 จุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ผู้นำในส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟนประเภทดังกล่าว และออกสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ในปีถัดมาและปีนี้ ซึ่งได้รับการพัฒนาและได้รับความนิยมมาตลอด
สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดนั้นได้วิเคราะห์และวางแผนพัฒนาให้ตอบรับกับสภาพการณ์ปัจจุบันและการใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้น ภาพรวมของตลาดสมาร์ทโฟนในไทยปีนี้อยูในภาวะทรงตัว ในขณะที่สมาร์ทโฟนกลุ่มพรีเมียม (มีราคาเฉลี่ยมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป) โดยมีมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้น 11% ในขณะที่ปริมาณการซื้อโตขึ้น 1% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่มีกำลังซื้อสมาร์ทโฟนกลุ่มพรีเมียมพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับสมาร์ทโฟนเสมอหากมีฟังก์ชันที่ตอบรับและตรงความต้องการ ต่างจากผู้มีกำลังซื้อสมาร์ทโฟนในกลุ่มที่ราคาต่ำลงมานั้นอาจจะซบเซาไปบ้างตลอดช่วงครึ่งปีแรก
นี่เองที่ทำให้เห็นถึงคำตอบสำคัญของการพัฒนาสมาร์ทโฟนก็คือ ‘นวัตกรรม’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Samsung นำเข้าสู่ตลาดมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเติบโตได้ และหากพูดถึงเทคโนโลยีหน้าจอพับได้ของสมาร์ทโฟนแล้วนั้น Samsung ถือเป็นเจ้าแรกที่แนะนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาเมื่อปี พ.ศ.2554 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้นำมาผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย
นอกจากนี้ อีกหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ตีตลาดของ Samsung ก็คือการออกแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค สมาร์ทโฟน Galaxy Z ทั้งสองรุ่นต่างมีจุดเด่นของฟังก์ชันที่ช่วยเสริมเอกลักษณ์ของผู้ใช้งานได้ชัดเจน โดย Galaxy Z Fold 3 5G สะท้อนตัวตนผู้บุกเบิกที่รักการค้นหาประสบการณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องการความโปรดักทีฟในการทำงาน อาจเป็นคนที่สนใจเรื่องการลงทุน สินค้าที่มีความหรูหรา เทคโนโลยีล้ำๆ หรือกีฬา จึงเหมาะกับสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่ พับเก็บได้ และเปิดใช้งานแอพฯ พร้อมกันได้ทีละมากๆ
ในขณะที่ Galaxy Z Flip 3 5G สะท้อนตัวตนของผู้นำเทรนด์ที่เป็นคนชอบเข้าสังคม สนใจเรื่องของแฟชั่น แบรนด์เนม ชอบดูหนังหรือซีรีส์ และหลงใหลในการท่องเที่ยวมากกว่า จึงเหมาะกับสมาร์ทโฟนกะทัดรัด พกพาง่ายกว่า เน้นถ่ายรูป และนำไปตกแต่งเพิ่มเติมได้
ทั้งหมดนี้จึงถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมที่เอาไว้ตอบโจทย์คนซื้อในแง่ของการใช้ประโยชน์ใช้สอยหรือ utility รวมทั้งการออกแบบที่ช่วยเสริมความรู้สึกหรือตัวตนบางอย่างให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นสององค์ประกอบสำคัญเมื่อคนเราจะใช้ตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองสักเครื่อง
ที่สำคัญ ราคาที่จับต้องได้และสมเหตุสมผลของสมาร์ทโฟนสองรุ่นนี้ก็มีส่วนช่วยให้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีตามไปด้วย โดยทั่วไปแล้ว ต้นทุนการผลิตของสมาร์ทโฟนลักษณะดังกล่าวค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้เทคโนโลยีพับหน้าจอของสมาร์ทโฟนที่มากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ส่งผลให้ราคาสูงตามไปด้วย หากแต่สมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ในรุ่นก่อนๆ รวมทั้งเสริมกลยุทธ์การตลาด trade in ในไทย ที่ซื้อสามารถนำสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามาแลกได้ในราคาเกรด A ซึ่งมีส่วนให้คนตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
นอกจากปรากฏการณ์จองที่มากเกินกว่าที่ตั้งเป้าแล้วนั้น Galax Z Series สองตัวล่าสุดยังดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามาอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว อัตราลูกค้าที่เปลี่ยนมาใช้ Samsung ในกลุ่มสมาร์ทโฟนทั่วไปคิดเป็นประมาณ 20% แต่เมื่อ Galaxy Z รุ่นล่าสุดได้เปิดตัวไป มีอัตราลูกค้าที่อยากเปลี่ยนมาลองใช้ Samsung สูงขึ้น 30% แน่นอนว่า ‘นวัตกรรม’ คือคำตอบหลักที่ช่วยดึงดูดและขยายฐานลูกค้านั่นเอง จนนำมาสู่การประกาศจอง Samsung ทั้งสองรุ่นอีกครั้งในวันที่ 15 ก.ย. นี้ ผ่านช่องทางเว็บไซต์หน้าร้านของแบรนด์