วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์พัฒนาไปอีกขั้น ชายป่วยเป็นอัมพาตได้รับการฝังขั้วไฟฟ้า เพื่อช่วยแปลความคิดให้กลายมาเป็นตัวอักษร ก่อนจะพบว่าระบบดังกล่าวมีความแม่นยำสูงถึง 94%
ชายวัย 65 ปีคนหนึ่งได้รับอุบัติเหตุที่ไขสันหลังในปี ค.ศ.2007 ทำให้เขาป่วยเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงมาและส่งผลกระทบต่อความสามารถด้านการสื่อสาร ทีมนักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจฝังอุปกรณ์ที่เรียกว่า BrainGate ลงไปในสมองของชายคนดังกล่าว
เจ้าตัว BrainGate นี้จะเป็นส่วนต่อประสานสมองกับคอมพิวเตอร์ (BCI) เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างสมองกับอุปกรณ์ด้านนอกโดยตรง และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในการแปลงกระแสประสาท (neuronal activity) ออกมาเป็นภาษาเขียน
ในระหว่างทดลอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ให้ชายวัย 65 ปี (จากนั้นนี้จะเรียกว่าผู้ทดลอง T5) จินตนาการว่าเขากำลังเขากำลังเขียนตัวหนังสืออยู่ แม้ความเป็นจริงมือและนิ้วจะเคลื่อนไหวไม่ได้เนื่องจากอาการป่วย ซึ่งระหว่างที่เขาจินตนาการถึงตัวหนังสือ ขั้วไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในเยื่อหุ้มสมองจะบันทึกสัญญาณการทำงานของสมอง จากนั้นนำมาแปลงผลโดยอัลกอริธึมคอมพิวเตอร์ด้านนอก โดยจะมีการถอดรหัสลายมือที่ถูกจินตนาการในสมองออกมาเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัวรวมถึงเครื่องหมายวรรคตอนบางส่วน
หลังการทดสอบพบว่า T5 สามารถถ่ายทอดตัวอักษรออกมาได้ด้วยความเร็วประมาณ 90 ตัวอักษรหรือประมาณ 18 คำต่อนาที เกือบจะเทียบเท่ากับความเร็วที่กลุ่มผู้ชายพิมพ์ข้อความในสมาร์ทโฟน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 115 อักษรหรือ 23 คำต่อนาที นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์ (และความแม่นยำสูงสุด 99 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปิดใช้งานการแก้ไขอัตโนมัติ)
Frank Willett นักวิจัยด้านประสาทเทียมจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่าการศึกษานี้ทำให้รู้ว่า แม้ร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวไปเป็นระยะเวลานาน แต่สมองยังคงทำงานของมันได้ดี และเรายังได้เรียนรู้ว่า การลากเส้นของลายมือที่มีน้ำหนักและเส้นโค้งแตกต่างกันในแต่ละบุคคลนั้นสามารถใช้อัลกอริธึมของ AI แปลความออกมาได้ง่ายกว่าการเคลื่อนไหวที่ถูกตั้งค่าไว้แล้วให้มีความเร็วหรือรัศมีการโค้งที่คงที่
แม้การศึกษานี้จะมีผลออกมาน่าพึงพอใจ แต่ทีมวิจัยบอกว่า ระบบที่พวกเขาพัฒนาขึ้นในการทดสอบนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนพิสูจน์ความเป็นไปได้ของแนวคิดเท่านั้น อีกทั้งมันยังเพิ่งผ่านการใช้งานกับอาสาสมัครเพียงรายเดียว ดังนั้นจึงจะไม่มีการวางจำหน่าย หรือเปิดให้ใช้งานเร็วๆ นี้
แต่ถึงกระนั้นใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะชุดความรู้เหล่านี้จะถูกนำไปต่อยอดเพื่อหาแนวทางช่วยผู้ประสบปัญหาด้านการสื่อสารในอนาคต และแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน แต่หากท้ายที่สุดมันประสบความสำเร็จหรือช่วยคนได้ก็คงไม่สูญเปล่าแล้ว
อ้างอิงจาก
https://www.nature.com/articles/s41586-021-03506-2
#Brief #TheMATTER