การตรวจ Rapid tes ทางจมูกอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เมื่อต้องเจอกับ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน ผลการศึกษาใหม่ในสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การตรวจ Rapid tes ผ่านทางจมูกอาจให้ผลที่ไม่แม่นยำกับโอไมครอน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อแนะนำให้หันมาให้การตรวจผ่านทางคอร่วมด้วย
ผลการศึกษาขนาดเล็กในสหรัฐฯ กับกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 30 คนได้ให้ผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อโอไมครอนเข้ารับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี Rapid tes ทางจมูกก่อนจะพบว่า มีผู้ร่วมทดสอบ 4 คนที่ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่ผลตรวจ Rapid tes กลับระบุว่าไม่พบเชื้อ
ทีมศึกษาเปิดเผยว่า การตรวจ Rapid tes อาจไม่ได้ผลกับผู้ติดเชื้อโอไมครอนในระยะแรก เนื่องจากปริมาณไวรัสยังน้อย ซึ่งหมายความว่า การตรวจหาเชื้อในลักษณะนี้อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการคัดกรองหาผู้ติดเชื้อในสถานที่ทำงาน หรือพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ติดเชื้อนั้นอยู่ในภาวะไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้
หากตรวจ Rapid tes ทางจมูกไม่พบเชื้อ แล้วควรทำอย่างไรต่อไป? สำนักข่าว Business Insider สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อจำนวน 4 คน ได้แก่ ไอรีน พีเทอร์เซน ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาจาก มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (UCL) , ซูซาน บัทเลอร์-วู ผู้กำกับการทดสอบทางคลินิกสำหรับโรคติดเชื้อ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย, แอนดี้ แพคคอส นักไวรัสวิทยาที่สถาบันด้านสาธารณสุขจอห์น ฮอปกินส์ บลูมเบิร์ก และเชลดอน แคมป์เบลล์ รองศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่โรงเรียนแพทย์เยล ซึ่งทั้ง 4 แนะนำตรงกันว่า “ควรตรวจหาเชื้อที่บริเวณคอ ร่วมกับการตรวจที่จมูก”
แม้ชุดตรวจ ATK จะไม่ได้ออกแบบมาให้ตรวจเชื้อบริเวณคอ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ไวรัสที่ระบาดในตอนนี้ก็มีการวิวัฒนาการตัวเองอยู่เรื่อยๆ การปรับมาตรวจที่คอจึงมีโอกาสพบเชื้อได้ไม่ต่างไปจากจมูก แคมป์เบลล์อธิบายว่า ตามปกติแล้ว จาก Swab บริเวณจมูกจะตรวจหาไวรัสได้ดีกว่า เนื่องจาก เซลล์ในเนื้อเยื่อบุจมูกมีความคล้ายคลึงกับเซลล์ในปอด แค่ในเคสของโอไมครอนนั้นแตกต่างไป
จากศึกษาที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์โดยนักวิจัยชาวแอฟริกาใต้พบว่า การตรวจหาเชื้อทางน้ำลายสามารถจับไวรัสโอไมครอนได้ดีกว่าการทดสอบทางจากจมูก โดยจากการตรวจผู้ติดเชื้อโอไมครอน พบว่าด้วยน้ำลายมีความแม่นยำสูงถึง 100% ขณะที่การตรวจด้วยจมูกแม่นยำ 86% ซึ่งต่างจากการตรวจหาเชื้อเดลต้า
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโอไมครอน 60% จากหลายหมื่นคนในสหราชอาณาจักรที่ได้บันทึกอาการป่วยตัวเองทุกวันยังบอกว่า พวกเขารู้สึกเจ็บคอ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ป่วยสายพันธุ์ดังกล่าว โดยไอรีนอธิบายว่า การที่ผู้ติดเชื้อรู้สึกเจ็บคอ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าไวรัสกระจุกตัวอยู่ในบริเวณนั้น
ขณะที่แอนดี้เสริมว่า การที่อาการของโอไมครอนแตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์อื่นสะท้อนในเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฎี ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่ผู้คนเริ่มมีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน
ไม่เพียงแต่ต่างชาติเท่านั้น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในไทยหลายคนก็เริ่มออกมาแชร์ข้อมูลว่า ในช่วงแรกที่มีการตรวจด้วยวิธี Swab ปกติ ยังไม่พบติดเชื้อ COVID-19 แต่เมื่อเปลี่ยนมา Swab บริเวณลำคอกลับให้ผลตรงข้าม
อ้างอิงจาก
https://www.businessinsider.com/how-to-throat-swab-for-omicron-at-home-experts-2022-1
#Brief #TheMATTER