มาตรา 112 ถูกนำมาบังคับใช้ลงโทษผู้กระทำผิดทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อวาน (3 มี.ค.) ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งยกคำร้องขอไปเรียนต่อที่เยอรมนีในระดับปริญญาโท ของ เดียร์ – รวิสรา เอกสกุล หลังเธอได้รับทุนหลังเธอได้รับทุนจากศูนย์บริการแลกเปลี่ยนทางวิชาการเยอรมัน (DAAD) โดยให้เหตุผลว่าเกรงว่าเธอจะหลบหนีคดีที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตาม ม.112 และ ม. 116 หลังเป็นหนึ่งในผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันหน้าสถานทูตเยอรมนีเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2563
.
ขณะที่ท่าทีของศาลดูเป็นกังวลกับการที่ เดียร์ จะเดินทางออกนอกประเทศ ด้าน เกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยกลับคล้ายเหรียญคนละด้าน เขาส่งหนังสือมาถึง เดียร์ โดยมีใจความสำคัญคือยินดีกับความสำเร็จ เพราะการได้ไปศึกษาต่อไม่ใช่ดีต่อตัวเธอเท่านั้น แต่ยังดีต่อประเทศไทย และความสัมพันธ์ระหว่าง ไทย-เยอรมนี ซึ่งครบรอบ 160 ปีในปีนี้ด้วย
.
ย้อนกลับไปเมื่อกลางปีที่ (21 พ.ค. 64) แล้ว The MATTER เคยนัดพูดคุยกับ เดียร์ ซึ่งเธอมองว่าสิ่งที่เธออ่านออกไปวันนั้น ไม่ได้เข้าข่ายถ้อยคำที่จาบจ้วงหรือแสดงอาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์เลย แต่มันคือการตั้งคำถามจากประชาชนเท่านั้น
.
“การอ่านแถลงวันนั้นเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้รับหมายเรียกแล้วก็ถูกดำเนินคดี ทั้งเรารู้สึกว่ามันไม่มีตรงไหนที่ทำให้เราต้องได้รับหมาย ม.112 เลย เพราะว่าต่อให้ตรงพาร์ทสุดท้ายที่มีการถามถึงว่าพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยมีการใช้อำนาจนอกเขตประเทศหรือเปล่า เราคิดว่าตรงนี้เป็นแค่การตั้งคำถามของพวกเราแค่นั้นเอง เป็นสิ่งที่เราอยากรู้ ทำไมจึงไม่สามารถตั้งคำถามได้”
.
“เรามองว่ามันเป็นมาตราที่ควรจะถูกยกเลิกไปได้ตั้งนานแล้ว เพราะว่ามันล้าสมัยมากๆ แล้ว ถ้าสมมติเราจะบอกว่าประเทศเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย คนทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมดจริงๆ แต่ว่าทำไมเราถึงมีกฎหมายอันนี้ เพื่อคุ้มครองคนอยู่กลุ่มเดียว แล้วบางทีมันไม่ได้เอาไว้ใช้เพื่อคุ้มครองคนกลุ่มนี้เท่านั้น แต่มันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เอาไว้ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามมากว่า มันผิดหลักการไปหมดเลย ก็เลยคิดว่ามาตรานี้ไม่ควรมีอยู่แล้ว”
.
ครั้งหนึ่งเธอเคยพูดถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยไว้ว่า มันเต็มไปด้วยปัญหา ถึงแม้อาจพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดการแทรกแซงจริงหรือไม่ แต่การสงสัยเช่นนั้นก็เท่ากับสะท้อนแล้วว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังมีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือ และอาจไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการที่เป็นอยู่ตอนนี้
.
“เรามองว่าระบบยุติธรรมในประเทศไทยมันค่อนข้างจะมีปัญหา มีปัญหาในแง่ที่ว่า มันทำให้ประชาชนหมดความเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว คือมันก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีใบสั่งมาหรือเปล่า แต่ว่าการกระทำของเขา มันก็เป็นคำตอบให้ประชาชนประจักษ์มากๆ อยู่แล้วว่ามันจริง หรือไม่จริง แล้วเขาทำงานกันอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นคนเห็นชัดเจนแล้วว่ามันไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรมยังไง”
.
แต่ถึงอย่างไร เธอยังมี “ความหวัง” ว่ายังหลงเหลือความเป็นมนุษย์อยู่บ้างสำหรับคนในกระบวนการยุติธรรมของไทย และแน่นอน เธอยืนยันกับเราว่ายังมี “ความหวัง” ต่อประเทศนี้
.
“เราก็รู้อยู่แล้วว่ากระบวนการนี้มันเป็นยังไง แต่เราก็ไม่อยากที่จะเป็นคนที่สิ้นหวัง เรายังคาดหวังว่ามันจะต้องมีความเป็นธรรมกับเราบ้าง หรือคนในกระบวนการยุติธรรมจะมีความเป็นมนุษย์หลงเหลือให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่บ้าง”
.
“คิดว่าจริงๆ เราก็ยังมีความหวัง คือต่อให้การต่อสู้ของเรา หรือม็อบ มันไม่มีกระแสเท่าเดิมแล้ว แต่มันเป็นการปฏิวัติทางความคิดของคนไปแล้ว และต่อให้ม็อบมันจะติด หรือดับไปอีกกี่รอบ ยังไงความคิดของคนมันก็เปลี่ยนไปแล้ว การเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว มันแค่อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วที่เราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราเรียกร้อง เรามีความหวังแค่รอว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่เท่านั้น”
.
The MATTER ชวนย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมนีคนนี้ เธอคิดเห็นเช่นไร เสียใจหรือพึงใจต่อการอ่านแถลงการณ์ในวันนั้น แล้วที่สำคัญเธอมองถึง ม.112 กฎหมายที่ถูกนำมาใช้เพื่อริดรอนอิสรภาพและสิทธิของตัวเธอมาจนถึงปัจจุบันอย่างไร
.
.
อ่านบนเว็บไซต์ได้ที่:
“เราเป็นคนธรรมดาที่ออกไปส่งสาร” เดียร์ รวิสรา ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันที่ถูกหมายม.112
#TheMATTER #ม112 #ม็อบ26ตุลา #เดียร์