หลังจากที่รัสเซียเริ่มใช้กองกำลังบุกยูเครนตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา สถานการณ์ในยูเครนก็ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยเอง ตกผลึกเป็นการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะในประเด็นอย่างการรายงานข่าวของสื่อตะวันตก เมื่อมีข่าวว่ารัสเซียถล่มโรงพยาบาลแม่และเด็กในเมืองมารีอูปอล ประเทศยูเครน จนส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต แต่ในขณะที่ข้อมูลฝั่งรัสเซียปฏิเสธการโจมตีดังกล่าวทั้งหมด ยิ่งทำให้มีคนตั้งคำถามว่าเราต้องเชื่อข้อมูลฝั่งใดได้บ้าง ในคู่ขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงโลกตะวันตก
The MATTER ได้รวบรวมความคิดเห็นของนักวิชาการไทยบางส่วนที่มีต่อประเด็นต่างๆ ในสงครามรัสเซีย-ยูเครนมาให้อ่านกัน เพื่อสำรวจดูว่า จุดยืนในวงการวิชาการไทยมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งในเรื่องสื่อตะวันตก ท่าทีต่อ NATO และรวมไปถึงเรื่องอย่างการประณามรัสเซียด้วย
1. สื่อตะวันตก-สื่อรัสเซีย ใครเป็นฝ่ายบิดเบือน?
1.1) เรื่องนี้ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ เป็นคนยกประเด็นขึ้นมาถกเถียง โดยเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ของรัสเซียว่า “เห็นชัดเจนว่า IO ฝ่ายปูตินนี่ “กาว” กว่าฝ่ายยูเครนเยอะมาก ล่าสุดถึงกับ (กล้า) อ้างว่า โรงพยาบาลแม่และเด็กที่ตัวเองยิงระเบิดถล่มนี่ไม่มีพลเรือนอยู่จริง มีแต่กองกำลังอาซอฟ (กลุ่มที่มีสมาชิกบางส่วนเป็นนีโอนาซี) คนใส่ชุดแม่ล้วนเป็นนักแสดงที่ยูเครนจ้างมาจัดฉาก”
สำหรับโรงพยาบาลแม่และเด็กที่สฤณีพูดถึง หมายถึงโรงพยาบาลในเมืองมารีอูปอล ที่สื่อตะวันตกหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ถูกกองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่ในวันที่ 9 มีนาคม จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 17 ราย ล่าสุดมีรายงานว่า มีคุณแม่เสียชีวิตไปพร้อมกับลูกทารกที่เพิ่งคลอดด้วย ขณะที่กองทัพรัสเซียอ้างว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการ ‘จัดฉาก’ ทั้งหมด
สฤณีตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์สงครามข่าวสารในยูเครนถือเป็น “โอกาสดีมาก” ที่จะทำให้เห็นการทำงานของ IO รัสเซียอย่างชัดเจน เพราะ “สงครามยูเครนเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ สื่อแทบทุกค่ายทั่วโลกต่างให้ความสนใจ ประชาชนในยูเครนก็มีโทรศัพท์มือถือที่พร้อมจะบันทึกคลิป ภาพ เสียง และโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ตได้ทุกเมื่อ” ทำให้เปรียบเทียบหรือคัดกรองข่าวได้ไม่ยาก
1.2) นั่นทำให้ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง ออกมาเตือนและตั้งคำถามว่า ในฐานะที่เป็นผู้รับข้อมูลจากประเทศไทย เราจะเชื่อหรือตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจาก ‘ฝั่งยูเครน’ ได้อย่างไร เขาตั้งคำถามว่า “ผู้เขียน [สฤณี] ใช้คำว่า “ล่าสุดถึงกับ (กล้า) อ้างว่า โรงพยาบาลแม่และเด็กที่ตัวเองยิงระเบิดถล่มนี่ไม่มีพลเรือนอยู่จริง” ซึ่งเป็นคำที่หนักแน่นมาก หากว่าใครที่ปฏิเสธนับว่า “กล้า” มาก
“ผมก็จึงอยากทราบว่า ในฐานะที่ผู้เขียน [สฤณี] ก็อยู่เมืองไทย และตามข่าวต่างๆ เช่นเดียวกับทุกคน อะไรที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นในสิ่งตัวเองรับรู้นัก ผมไม่มีความเห็น แต่อยากทราบมากๆ (เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่)”
ซึ่งสฤณีก็ตอบกลับด้วยการตอกย้ำจุดยืนของเธอข้างต้น คือ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่มีข้อมูลจากหลายแหล่งยืนยัน และเห็นว่า ‘ตรวจสอบชัดเจนแล้ว’ เธอตอบกลับไปว่า “มีภาพมีคลิปมีข้อมูลต่างๆ มากมายหลายแหล่งที่ยืนยันตรงกันค่ะ นี่ยังไม่นับว่า ข้ออ้างของเจ้าหน้าที่รัสเซียเองก็ไม่ตรงกัน แล้วแต่คนไหนพูด”
1.3) ก่อนหน้านี้ สมศักดิ์ เจียมฯ ก็เคยออกมาแสดงท่าทีตั้งแต่รัสเซียเริ่มบุกยูเครนใหม่ๆ โดยเป็นการเตือนไม่ให้รับสารหรือการให้เหตุผลจากสื่อตะวันตกได้เป็นฝ่ายเดียว
เขาบอกว่า “กรณียูเครนนั้น เป็นเรื่องที่มีความลำบาก เราไม่อาจยอมรับ “ข่าวสาร” จากสื่อตะวันตกได้ล้วนๆ (ความพยายามของตะวันตกและผู้ปกครองยูเครน ที่จะขยายเนโต้เข้าชิดพรมแดนรัสเซีย ฯลฯ) ขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรสนับสนุนให้รัสเซียแก้ปัญหาด้วยสงคราม”
1.4) หลังจากที่มีดีเบตข้างต้นเกิดขึ้น ก็มีนักวิชาการคนอื่นๆ ออกมาแสดงความเห็นด้วย อย่างเช่น พวงทอง ภวัครพันธุ์ รองศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พวงทองโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า “ความโหดเหี้ยมของกองทัพรัสเซียที่กระทำกับพลเรือน ได้กลายเป็นแบบแผน (pattern)” ซึ่งไม่ได้แปลว่า การกระทำของรัสเซียในอดีตจะส่งผลให้นำมาสู่การถล่มโรงพยาบาล แต่ก็ “ช่วยไม่ได้ถ้าพฤติกรรมที่ผ่านมาจะทำให้คนอยากเชื่อเช่นนั้น ณ วันนี้ความเชื่อนี้อาจผิดก็ได้ ซึ่งดิฉันเชื่อว่าจะมีการสืบสวนหาความจริงต่อไป”
พวงทองยังพูดถึงสื่อตะวันตกอีกด้วยว่า “ในด้านหนึ่ง สื่อตะวันตกอาจถูกครอบงำด้วยอุดมการณ์ของรัฐ และอาจเชื่อในความมั่นคงแบบรัฐ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สื่อตะวันตกจำนวนมากให้ความสำคัญกับการเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และกฎหมายระหว่างประเทศอย่างมั่นคง”
2. ท่าทีต่อ NATO
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องการนำเสนอของสื่อตะวันตก เรื่องหนึ่งที่หนีไม่พ้นการถกเถียงก็คือ การย้อนกลับมาดูประเทศคู่ขัดแย้งของรัสเซีย นั่นคือ ชาติตะวันตก รวมถึงองค์กรอย่าง NATO ว่าเป็นปัญหาด้วยหรือไม่
2.1) ในเรื่องนี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และอดีตอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เคยเป็นคนหนึ่งที่ออกมาแสดงจุดยืน เขาระบุจุดยืนต่อต้านการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ชี้ว่า องค์กรอย่าง NATO ไม่มีประสิทธิภาพ
ปิยบุตรบอกว่า “ผมมีความเห็นมานานแล้วว่านาโต้ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคง และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือมหาอำนาจของตะวันตก กรณีวิกฤตยูเครนที่เรื้อรังมาเกือบสิบปี ก็คือบทพิสูจน์หนึ่งว่าองค์กรแบบนาโต้ไม่เวิร์คจริงๆ”
เขาย้ำชัดว่าไม่เห็นด้วยกับสงคราม “แต่เราก็ต้องไม่สวิงกลับไปหาอีกขั้วหนึ่งที่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ผมไม่เชื่อว่าการแสวงหาสันติภาพทำได้โดยองค์กรแบบ NATO เพราะองค์กรและวิธีการแบบที่ NATO ทำมาตลอด ไม่มีทางแก้ปัญหารัสเซียได้แน่ๆ รอบนี้ก็เห็นชัดๆ ว่าแก้ไม่ได้”
2.2) สมศักดิ์ เจียมฯ ก็เคยแสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า “ความพยายามของตะวันตกที่เข้าปิดล้อมรัสเซีย ด้วยการขยายเนโต้เข้าประชิดพรมแดนรัสเซีย เป็นเรื่องซีเรียสมาก ต้องหาทางให้เนโต้หยุดยั้งการขยายตัว โดยไม่มีสงคราม”
3. ความเห็นต่อการประณามรัสเซีย และจุดยืนของไทย
แม้รัฐบาลไทยจะเป็น 1 ใน 141 เสียงที่ออกเสียงลงมติเห็นชอบร่างข้อมติของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UN General Assembly) ที่ประณามรัสเซียอย่างชัดเจนไปตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม แต่เราขอนำความเห็นของนักวิชาการบางส่วนที่มีต่อการแสดงจุดยืนของไทยมาให้อ่านกัน เนื่องจากเห็นว่ายังคงสะท้อนความคิดเห็นที่มีต่อสงครามในยูเครนได้ดี
3.1) ในช่วงแรก กระทรวงการต่างประเทศของไทยยังมีท่าทีที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชัดเจน และยังไม่ยอมออกแถลงการณ์ประณามรัสเซีย ซึ่งสมศักดิ์ เจียมฯ ก็เป็นคนแรกๆ ที่ออกมาบอกว่าจุดยืนของไทยในขณะนั้นถือว่าเหมาะสมดีแล้ว
เขาบอกว่า “ท่าทีของกระทรวงต่างประเทศ (และของไทย) ที่ไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวข้องนับว่าถูกต้องแล้ว” และ “จุดยืนของเรา คือสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศแสดงออก ผมเห็นว่าเหมาะสมแล้ว”
3.2) ทำให้ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.เกียวโต ออกมาตอบโต้สมศักดิ์ เจียมฯ ทันควัน ปวินชี้ว่าไทยต้องเลือกข้างชัดเจน โดยบอกว่า “ขอไม่เห็นด้วยค่ะ เราต้องมีท่าทีที่ชัดเจนกว่านี้ อยากเป็นผู้เล่นในระดับระหว่างประเทศ คุณต้องมีจุดยืน และจุดยืนนั้นต้องอยู่บนฝั่งประชาธิปไตย ยูเครนต้องการ support จะมีผู้ลี้ภัยอีกมากเหมือนดิชั้นกับอาจารย์ [สมศักดิ์ เจียมฯ] ค่ะ”
ปวินยังโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกว่า “ในบางครั้ง เราต้องมีจุดยืนมากกว่าเหยียบเรือสองแคม ในกรณีรัสเซีย การรุกรานยูเครนต้องถูกประณาม เราเหยียบสองแคมไม่ได้ เพราะมันนำไปสู่สงคราม และประเทศอย่างยูเครนต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ถ้าเราไม่ช่วยเขา ในอนาคตถ้าเราถูกรุกราน เค้าก็จะไม่ช่วยเราเหมือนกัน”
3.3) ย้อนกลับมาที่สฤณี ซึ่งเคยวิจารณ์ ‘กองเชียร์รัฐบาลทหาร’ ที่ไม่เห็นด้วยกับการประณามรัสเซียว่ามี ‘อาการไม่ยอมรับความจริง (cognitive dissonance)’
สฤณีวิจารณ์ว่า “ปากอ้างว่าตัวเองไม่เห็นด้วยกับสงครามไหนๆ ทั้งนั้น แต่ไม่ประณามรัสเซียผู้รุกราน แถมแปะรูปการแทรกแซงของนาโตในอดีตแล้วซักไซ้ไล่ถามคนอื่นว่า ทำไมไม่ด่ากรณีเหล่านั้นด้วย
“ก็คล้ายกับการมองเห็นโจรเข้าไปบุกบ้านคนอื่น ทำลายข้าวของและเข่นฆ่าคนในบ้าน แทนที่จะร้องขอความช่วยเหลือหรือประณามโจร เหมือนที่คนอื่นกำลังทำ กลับชูรูปเหตุร้ายในอดีตแล้วเดินจี้ถามคนว่า ทำไมไม่ด่าพวกนี้ด้วย”
เหล่านี้คือความคิดเห็นของนักวิชาการไทย ‘บางส่วน’ แม้อาจจะไม่ครอบคลุมวงการวิชาการทั้งหมด แต่ก็พอจะสะท้อนให้เห็นได้ว่า แม้ในประเทศจะสนับสนุนเรื่องประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน แต่เรื่องอย่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือนโยบายการต่างประเทศ กลับเป็นประเด็นที่ซับซ้อน มีผลประโยชน์หรือตัวละครที่หลากหลาย จนอาจนำมาสู่ความคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงได้
อ้างอิงจาก
Sarinee Achavanuntakul (1) (2)