ใจกลางกรุงเบรุต เกิดเหตุชายติดอาวุธบุกธนาคารสหพันธ์แห่งเลบานอน (Federal Bank of Lebanon) สาขาหนึ่ง พร้อมกับจับพนักงานและลูกค้าเป็นตัวประกัน แถมยังขู่จะราดน้ำมันและจุดไฟเผาตัวเองด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (11 ส.ค. 2565)
เหตุการณ์นี้คงจะเป็นอาชญากรรมครั้งหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก …ถ้าหากว่าข้างนอกไม่มีคนส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจคนร้าย – และถ้าเลบานอนทั้งประเทศไม่ได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ
ชายผู้บุกธนาคารคนนี้มีชื่อว่า ‘บัสซัม อัลเชค ฮุสเซน’ (Bassam al-Sheik Hussein) สิ่งที่เขาเรียกร้องคือ เงินเก็บของเขาเอง จำนวนประมาณ 210,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7.4 ล้านบาท ซึ่งถูกธนาคารแช่แข็งไว้ ทำให้ไม่สามารถถอนได้ โดยที่เขาได้ให้การในภายหลังว่า ต้องการเงินแค่บางส่วนเพื่อไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อ
เมื่อคนรู้เรื่องเข้า ก็มารวมตัวกันด้านนอกธนาคาร พร้อมพากันตะโกนว่า “คืนเงินเขาซะ คืนเงินเขาซะ” บางส่วนถึงกับส่งเสียงเชียร์ว่า “คุณคือฮีโร่”
สาเหตุที่ อัลเชค ฮุสเซน กลายมาเป็น ‘ฮีโร่จำเป็น’ นั้น คงเป็นเพราะประชาชนเลบานอนต่างเห็นอกเห็นใจและต้องเผชิญกับชะตากรรมไม่ต่างกัน เมื่อประเทศดำดิ่งอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาอย่างการแช่แข็งเงินฝากส่งผลให้หลายคนมีเงินไม่พอต่อการใช้ชีวิต บางส่วนได้รับอนุญาตให้ถอนเงินได้แค่ประมาณ 200 ดอลลาร์ หรือ 7,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น
หรือแม้กระทั่งทหารและตำรวจที่ถูกส่งมาควบคุมสถานการณ์หน้าธนาคาร ก็ถูกลดเงินเดือนไปมากกว่า 20 เท่า นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลให้ในตอนนี้ หลายคนได้เงินเดือนเพียงแค่ประมาณ 70 ดอลลาร์ฯ หรือเทียบได้เพียงประมาณ 2,500 บาทเท่านั้น
มิหนำซ้ำ ค่าเงินปอนด์ของเลบานอนยังมีมูลค่าที่ตกต่ำลงไปมากกว่า 90% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2562 ขณะที่โครงการอาหารโลก (World Food Programme) ภายใต้สหประชาชาติ ประเมินว่า ครัวเรือนในเลบานอน 46% มีอาหารไม่พอกิน
“เขาไม่ใช่แม้กระทั่งโจรปล้น แค่มาทวงของของเขาคืนเท่านั้น” ประชาชนที่มามุงดูให้สัมภาษณ์กับ The Guardian “ไม่มีใครบอกเลยว่าเขาทำสิ่งที่ผิด คนจนตรอกก็จะทำสิ่งที่จนตรอก เราก็เป็นเหมือนเขาทั้งหมดแหละ” ประชาชนอีกคนบอก
หลังจากที่ อัลเชค ฮุสเซน บุกเข้าไปที่ธนาคาร สถานการณ์ก็ตึงเครียดอยู่เกือบ 7 ชั่วโมง มีรายงานว่าเขาจับตัวประกันไว้ต่อรองเป็นจำนวน 8 คน ประกอบไปด้วยพนักงาน 6 คน ผู้จัดการสาขา 1 คน และลูกค้าธนาคารอีก 1 คน
ต่อมา ธนาคารเสนอคืนเงินฝากให้เขาเป็นจำนวน 5,000 ดอลลาร์ ก่อนจะเพิ่มเป็น 10,000 ดอลลาร์ และ 30,000 ดอลลาร์ ซึ่งเขาปฏิเสธทั้งหมด ก่อนจะยอมตกลงรับเงินที่ 35,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ท้ายที่สุด สถานการณ์ก็จบลงอย่างสงบ หลังจากที่เขาเข้ามอบตัวด้วยตนเอง
ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะถูกตั้งข้อหาทางอาญาหรือไม่ ซึ่งแน่นอนแหละว่า สิ่งที่เขาทำคงจะเรียกว่าถูกกฎหมายได้ไม่เต็มปาก อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาของประชาชนเลบานอน อันเกิดจากอารมณ์โกรธที่ไม่ต่างกัน ก็น่าจะพอเผยให้เห็นได้ว่า คนในประเทศต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเพียงใดท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-62514631