ภายหลังสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสด็จสวรรคต กษัตริย์คนใหม่ที่จะขึ้นมาแทนคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 หรืออดีตเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ผู้สืบราชสันตติวงศ์ในลำดับที่ 1 ตามลำดับทายาทคนโตของพระราชินีนาถเอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลลิป
ถึงแม้กษัตริย์อังกฤษจะไม่มีอำนาจในมืออย่างชัดเจน แต่หากใครเคยดูซีรีย์ The Crown ทางเน็ตฟลิกซ์ย่อมรู้ดีว่าผู้ครอบครองมงกุฎแห่งเครือจักรภพทรงพลังแค่ไหน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าชายผู้ที่กำลังขึ้นมารับมงกุฎเครือจักรภพต่อมีประวัติอย่างไร และพระองค์จะใช้อำนาจที่มีพาประเทศและโลกไปในทิศทางไหน
ก่อนมาเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เกิดวันที่ 14 พฤศจิกายน 1948 ปัจจุบันมีอายุ 73 ปี เป็นลูกชายคนโตจากลูกทั้งสี่คนของพระราชินีอลิซาเบธและเจ้าชายฟิลลิป เขาแตกต่างจากชนชั้นสูงทั่วไปที่มักมีครูมาสอนที่บ้าน เพราะเขาถูกส่งเข้าเรียนระดับประถม มัธยม และจบการศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เช่นเดียวกับสามัญชนทั่วไป
สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานว่า พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เป็นบุคคลที่มีบุคลิกค่อนข้างซับซ้อน คาดว่าเกิดจากภาระหน้าที่ที่แบกอยู่ คู่ไปกับความสงสัยในความสามารถตัวเอง นอกจากนี้ในวัยเด็ก พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังต้องห่างกับพระราชินีเอลิซาเบธตั้งแต่มีอายุ 1 ขวบ ในช่วงที่พระราชินีเอลิซาเบธขึ้นครองราชย์ระยะแรก และยังถูกเพื่อนกลั่นแกล้งขณะที่เรียนมัธยมด้วย
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 สมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงไดอานาในปี 1981 และให้กำเนิดเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี่ ผู้มีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์ในลำดับที่ 2 และ 6 ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าร้างกันในปี 1992 เนื่องด้วยความไม่ลงรอยของชีวิตคู่ และพระองค์ได้สมรสใหม่กับดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ หรือคาเมลา ปาร์กเกอร์ ที่เคยเป็นอดีตคนรักเก่า
ในปี 2018 สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เคยกล่าวถึงพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ไว้ว่า “เป็นความต้องการของข้าพเจ้าที่จะให้เครือจักภพดำรงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคงเพื่อคนรุ่นต่อไป และเมื่อถึงวันนึงเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (ยศในตอนนั้น) จะเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่อันสำคัญ ที่พ่อของข้าพเจ้าเริ่มมาตั้งแต่ปี 1949 ต่อไป”
ตลอด 73 ปีแห่งตำแหน่งเจ้าฟ้าชาย พระองค์ได้รับความสนใจจากสาธารณชนในหลายประเด็น อาทิ การออกมาปกป้องการล่าสุนัขจิ้งจอก, ความเชื่อประหลาดเรื่องสุขภาพ, การแสดงความเห็นถึงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ตลอดจนรายงานว่าเขาเป็นคนรักต้นไม้มาก ถึงขนาดที่พึมพำพูดคุยกับพวกมันขณะรดน้ำ
นอกจากนี้ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังมักถูกสาธารณชนตั้งคำถามถึงความเป็นกลางทางการเมือง โดยสำนักข่าว The Guardian เคยรายงานข่าวเจาะลึกในชื่อ ‘บันทึกแมงมุม’ ซึ่งรวบรวมจดหมายที่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เขียนล็อบบี้คณะรัฐมนตรีในหลายประเด็นตั้งแต่ การทำประมงผิดกฎหมาย จนถึงการสนับสนุนให้ส่งทหารเข้าไปเพิ่มในสงครามอิรัก
กษัตริย์นักอนุรักษ์
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จริงจังและเป็นผู้นำคนแรกๆ ที่ออกมาพูดถึงปัญหาภาวะโลกร้อน โดยนิตยสาร Town and Country รายงานว่า เขาเริ่มพูดเรื่องนี้ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 1970 กล่าวถึงความเลวร้ายของมลพิษในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้
ในปี 2020 เขากล่าวถึงวิธีปฏิบัติ 10 ข้อเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนในงานระดับโลกอย่าง World Economic Forum และในปี 2021 ก็ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงาน COP26 ที่สกอตแลนด์ เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำประเทศทั่วโลกทำสงครามอย่างจริงจังกับสภาวะโลกร้อน
และอันที่จริง ไม่ใช่แค่พระองค์เขาเท่านั้น เพราะทั้งราชวงศ์อังกฤษกำลังจริงจังกับเรื่องนี้อย่างมาก เช่นเจ้าชายวิลเลียมที่ได้พูดผ่านช่อง TED ถึงปัญหาสภาวะโลกร้อน รวมถึงรางวัล Earth Shot ที่เขาได้มอบทุนให้แก่นวัตรกรรมที่ต่อสู้กับเรื่องดังกล่าว และถ้าเราไปดูในเว็บไซต์ของพระราชวังบัคกิงแฮม พวกเขาได้เปิดหัวข้อนึงไว้เลยสำหรับอธิบายว่าพระราชวังทำอย่างไรบ้าง เพื่อลดปัญหาโลกร้อน โดยระบุว่าพวกเขาเริ่มผลักดันเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2006 และเริ่มหันมาใช้พลังงานน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าแล้ว และยังลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนการใช้พลังงานของทั้งพระราชวัง
ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า สถาบันกษัตริย์อังกฤษดำรงอยู่ได้เพราะการปรับตัว และประเด็นที่กษัตริย์องค์ใหม่ผลักดันมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ก็นับว่ายังร่วมสมัยและเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่
“พระองค์ทรงต้องการพิทักษ์โลกใบนี้” คือคำนิยามจากดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ พระชายาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ถึงสิ่งที่พระองค์ทำมาตลอด 50 ปี
อ้างอิงจาก
https://www.washingtonpost.com/world/2022/09/08/queen-elizabeth-succession-britain-royal-family/
https://www.bbc.com/news/uk-59135132
https://www.bbc.com/thai/international-46202295