“ไม่สู้กันวันนี้จะอยู่อย่างทาส” หนึ่งในข้อความที่เขียนลงบนแผ่นป้ายในการประท้วงเมื่อวาน (3 พ.ย.) บริเวณหน้าอาคารธนภูมิ ถนนเพชรบุรี สำนักงานใหญ่ของบริษัทแกร็บ กลุ่มผู้ชุมนุมในเสื้อแจ็คเก็ตสีเขียว หรือเหล่าไรเดอร์ของแกร็บได้ออกมาเรียกร้องให้ทางบริษัทแก้ไขนโยบายใน 3 เรื่อง ได้แก่ ระบบการจองรอบ, ปัญหาการรับออเดอร์คู่ และเงินค่ารอบที่ไรเดอร์จะได้ลดลง 2-4 บาท/ เที่ยววิ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหล่าไรเดอร์ หรือที่แพล็ตฟอร์มเรียกพวกเขาว่า ‘พาร์ทเนอร์’ ออกมาเรียกร้องทำนองนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับไรเดอร์ทั้งหลาย และต้นตอของปัญหาคืออะไรกันแน่
– แกร็บไรเดอร์ยื่นหนังสือ
ข้อเสนอของกลุ่มไรเดอร์มี 3 ประการดั่งที่กล่าวไปข้างต้น สำหรับปัญหาข้อแรก ระบบการจองรอบ แกร็บเพิ่งประกาศระบบใหม่โดยไรเดอร์ต้องเปลี่ยนมาทำงานเป็น ‘รอบ (Shift)’ กล่างคือต้องลงจองเวลาและพื้นที่ทำงาน โดยการจองรอบหนึ่งจะมีระยะเวลารอบละ 2-3 ชั่วโมง/ พื้นที่ เช่น จองรอบ 12.00 – 15.00 น. หรือ 18.00-21.00 น. แล้วต้องลงไปเลือกสถานที่ทำงาน เช่น เขตลาดพร้าว, เขตดินแดง, เขตวังทองหลาง โดยจะไม่สามารถรับงานนอกเขตได้
กล่าวคือแกร็บไรเดอร์ต้องเปลี่ยนวิธีทำงาน จากเดิมที่เคยเข้า-ออกงานได้โดยอิสระ ต้องมาลงทะเบียนทำงานเป็นรอบคล้ายพนักงานประจำ ซึ่งผิดจากความเข้าใจเดิมของคนที่เริ่มมาเป็นไรเดอร์บนแพลตฟอร์ม
ปัญหาข้อที่สอง ออเดอร์คู่ หรือระบบที่ไรเดอร์คนหนึ่งจะรับหลายงานพร้อมกันก่อนวิ่งไปส่งเพื่อเคลียร์งานทั้งหมดทีเดียว ซึ่งทางบริษัทจะเป็นผู้จับคู่งานให้แก่ไรเดอร์เอง อย่างไรก็ตาม ระบบนี้จะให้ค่าตอบแทนที่น้อยกว่างานหลัก ขณะที่ ลูกค้าต้องรอของที่มาส่งนานขึ้นจนหลายครั้งทำให้ไรเดอร์ถูกลูกค้าต่อว่า
ปัญหาข้อที่สาม ค่ารอบลดลง ในปัจจุบันไรเดอร์ของแกร็บได้ค่ารอบลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับค่าบริการที่บริษัทเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการมากขึ้น เมื่อค่ารอบลดลงทำให้ไรเดอร์ต้องรับงานต่อวันเยอะขึ้นเพื่อให้ได้ค่าใช้จ่ายเท่าเดิม
ทางด้านแกร็บเองได้ขอเวลา 15 วันในการพิจารณาข้อเรียกร้องของกลุ่มไรเดอร์ และออกหนังสือแถลงการณ์ระบุว่ารับทราบข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว และขอชี้แจงข้อเท็จจริง 2 ประการ
ประการแรก บริษัทให้ความสำคัญกับความเห็นของผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์ และที่ผ่านมาบริษัทก็ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอดผ่านหลายช่องทาง อาทิ ศูนย์ช่วยเหลือในแอป Grab Driver, ทางโทรศัพท์ (Call Center), กลุ่มเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของแกร็บ นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมจัดประชุมกลุ่มย่อยกับตัวแทนของพาร์ทเนอร์คนขับ, ร้านค้า และผู้ใช้บริการ และจะสรุปผลการพูดคุยภายใน 14 วัน
ประการสอง นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจัดสรรงานและค่าตอบแทนของพาร์ทเนอร์ ทางแกร็บระบุว่าที่ผ่านมาทางบริษัทก็พยายามหาจุดที่สมดุลที่สุดระหว่างทุกฝ่ายมาโดยตลอด ก่อนยืนยันว่า ทางบริษัทฯ จะจัดการประเด็นดังกล่าวอย่างดีที่สุด และจะทบทวนมาตรการและพิจารณาหาแนวทางใหม่ๆ โดยคำนึงถึงการรักษาสมดุลทางธุรกิจและสร้างประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเหมาะสมที่สุด
– ปัญหาใต้ภูเขาน้ำแข็ง
ไม่ใช่เพียงแต่แกร็บไรเดอร์ที่ออกมาเรียกร้อง ก่อนหน้านี้มีทั้งไรเดอร์ของฟู๊ดแพนด้า, ไลน์แมน หรือล่าสุด (20 ต.ค.) กลุ่มไรเดอร์ของลาลามูฟได้เข้ายื่นหนังสือถึงบริษัทลาลามูฟ อีซี่แวน (ประเทศไทย) จำกัดเรียกร้องให้มีการปรับปรุงข้อตกลงการทำงาน 3 ข้อเพื่อแก้ปัญหาค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม
การออกมาเรียกร้องเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าค่ายไหนไรเดอร์ล้วนเผชิญปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งต้นตอของปัญหามาจากความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างไรเดอร์และแพลตฟอร์ม ซึ่งฝ่ายนึงอยู่ในฐานะ ‘พาร์ทเนอร์’ ไม่ใช่ ‘ลูกจ้าง’ ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบต่อตัวพวกเขา ไม่ต้องจัดสวัสดิการให้ ไม่ต้องทำประกันอุบัติเหตุให้ และสามารถเปลี่ยนหรือออกนโยบายใหม่โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อไรเดอร์
The MATTER เคยพูดกับหนึ่งในแกนนำสหภาพไรเดอร์ถึงเรื่องประกันอุบัติเหตุ เขาเล่าว่าบริษัทได้ออกแบบข้อแม้ว่า “ต้องวิ่งให้ได้ 200 งาน/ เดือน” ถึงจะได้รับประกันอุบัติเหตุ ส่วนในกรณีอื่นๆ ที่วิ่งไม่ถึงทางแพล็ตฟอร์มจะผลักให้ไรเดอร์ใช้ พ.ร.บ.แทน หรือบริษัทอาจช่วยเหลือในรูปแบบสินน้ำใจเป็นตัวเงินที่ไม่แน่นอน ซึ่งในที่สุด ทางกลุ่มไรเดอร์มักต้องรวบรวมเงินเพื่อช่วยเหลือกันเอง
รายงานของ Rocket Media Lab ที่เก็บข้อมูลของไรเดอร์จำนวน 1,136 คน ในหลายแพล็ตฟอร์มพบว่า 93% ของไรเดอร์ส่งอาหารเคยประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงาน
รายงานของ Rocket Media Lab ยังพบว่า กว่า 60% ของไรเดอร์ยึดอาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก และมากกว่า 37% ต้องทำงานเกิน 8 ชั่วโมง/ วัน และ 2/3 ต้องวิ่งมากกว่า 10 รอบ/ วัน เนื่องจากในระยะหลังความเข้มข้นในการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มสูงขึ้น ทำให้ทางแพลตฟอร์มพยายามปรับส่วนแบ่งของไรเดอร์ลงเรื่อยๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหันใช้บริการแพลตฟอร์มของตน
โดยผลสำรวจทางด้านรายได้ของไรเดอร์จาก Rocket Media Lab พบว่า
- 48.77% มีรายได้จากการเป็นไรเดอร์ส่งอาหารอยู่ที่ระหว่าง 10,001 – 15,000 บาท/เดือน
- 27.69% มีรายได้ระหว่าง 15,001 – 20,000 บาท/เดือน
- 10.76% มีรายได้ระหว่ง 20,001 – 30,000 บาท/เดือน
- แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่บอกว่ามีรายได้พอใช้และมีเงินเก็บ
“คนขับเขารู้กัน แกร็บเอาใจลูกค้า ฆ่าคนขับ” จอม ผู้ขับแกร็บคาร์ให้สัมภาษณ์แก่ The MATTER เขาเปิดเผยว่า ทุกวันนี้ทางแพลตฟอร์มจะหักค่าบริการจากไรเดอร์ 25% กล่าวคือถ้าลูกค้ามีค่าบริการ 100 บาท ทางแกร็บจะหักเข้าบริษัทแล้ว 25 บาท ส่วนที่เหลือเป็นของไรเดอร์
– แก้กฎหมายคือปลายทาง
ปัญหาความคลุมเครือของสถานะไรเดอร์ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองไทยเท่านั้น มันเคยเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ, จีน, อินโดนีเซีย หรือล่าสุดในฝรั่งเศส ซึ่งศาลเพิ่งตัดสินให้ไรเดอร์ของ ‘Deliveroo’ มีสถานะเป็น ‘ลูกจ้าง’ ไม่ใช่ ‘ฟรีแลนซ์’ อย่างที่บริษัทยืนยัน ทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยให้ไรเดอร์ที่ฟ้องร้องกว่า 13 ล้านบาท
ในมุมของไรเดอร์ไทย ข้อมูลจาก Rocket Media Lab ชี้ว่า ความต้องการ 5 อันดับแรกของพวกเขาคือ
- 26.06% อยากให้มีเงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อประสบอุบัติเหตุ
- 16.19% เปลี่ยนสถานะให้เป็นลูกจ้างแทนการเป็นพาร์ทเนอร์
- 13.38% อยากให้แพล็ตฟอร์มมีประกันสุขภาพ
- 12.06% อยากให้มีประกันรายได้ขั้นต่ำต่อวัน
- 9.42% อยากให้มึประกันอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะอยู่ในเวลางานหรือไม่
ซึ่งความต้องการทั้ง 5 ประการล้วนเป็นไปได้ยาก ตราบใดที่ไรเดอร์ยังไม่ถูกนับเป็นแรงงานตามกฎหมายแรงงานของไทย
ชนฐิตา ไกรศรีกุล อดีตนักวิจัยจากสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (JELI) เคยให้ความเห็นไว้ในบทความของ The MATTER ว่า ในระยะสั้นภาครัฐควรผ่อนผันให้มีการใช้ พ.ร.บ.ควบคุมแรงงาน พ.ศ.2541 แก่กลุ่มไรเดอร์เสียก่อน ด้วยหลักการที่ว่า “เมื่อไหร่ที่บริษัทมีอำนาจควบคุมสั่งการคนงาน ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบทันที”
อย่างไรก็ตาม เธอยังเห็นด้วยว่าในระยะยาวควรมีการร่างกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานและสังคมที่เปลี่ยนไป
ด้าน กิริยา กุลกลการ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้กล่าวกับ The MATTER ว่า สัญญาณควาไม่พอใจของไรเดอร์มีมาให้เห็นโดยตลอด จากการรวมตัวยื่นหนังสือ, นัดหยุดงานหลายต่อหลายครั้งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เธอเสริมว่าในปัจจุบัน ไรเดอร์ต้องแบกรับแรงบีบอย่างน้อย 2 ทางคือ ค่ารอบที่ลดลงอย่างมาก สวนทางกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทั้งสองแรงส่งผลให้ไรเดอร์มีสถานะลำบากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เป็นเหตุสุกงอมมาก ค่ารอบลดลงอย่างมาก ในขณะที่ค่าครองชีพมันสูง มันถึงเป็นแรงกดดันมากที่เขาต้องลงถนน บริษัทพวกนี้พยามจะแย่งชิงลูกค้าด้วยการลดราคา โดยไม่ได้ตัดเนื้อบริษัทเอง แต่ไปรบกวนจากไรเดอร์”
“ตอนนี้มันโลกใหม่ละ กฎหมายต่างๆ ไม่รองรับงานประเภทใหม่แล้ว แต่หลักกการที่ใช้ได้ตลอดไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คือเรื่องความเป็นธรรม” เธอทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก:
https://www.bbc.com/thai/articles/c9r463xgpnwo
https://www.facebook.com/JustEconLaborInstitute/photos/pcb.5767133366678743/5767133143345432
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2543603
https://thematter.co/social/food-delivery-rider-survey-2021/156236
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/download/248320/169284/938010
https://prachatai.com/journal/2022/10/101148
https://thematter.co/social/are-food-delivery-driver-be-employee/141758