คลื่นสงบได้ไม่นานก็เกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันอีกแล้ว สำหรับกรณีการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สุทธิสาร ถูกกล่าวหาว่ารีดไถเงินกลุ่มนักท่องเที่ยวเพราะพกบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเงินถึง 27,000 บาท จุดความสงสัยในสังคมว่า การครอบครองและสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดตามกฎหมายหรือไม่?
The MATTER อาสาอธิบายกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน ความคลุมเครือในการบังคับใช้ และสุดท้ายภาวะนี้นำไปสู่ปัญหาอะไรในสังคมไทยบ้าง
1. แกะกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า
ย้อนเรื่องราวของบุหรี่ไฟฟ้ากันสักเล็กน้อย ก่อนปี 2557 ประเทศไทยไม่เคยมีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน หรือเรียกว่ากฎหมายไทยตามไม่ทันนวัตกรรมชนิดนี้
ต่อมาในปีเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557 ระบุให้บารากุ บารากุไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงให้ริบสินค้าและพาหนะที่ใช้ในการบรรทุกสินค้านั้น
ต่อมาในปี 2558 ได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ระบุห้ามขายหรือให้บริการบารากุ บารากุไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยาเติมของทั้งสองชนิด โดยระบุว่าพบสารเคมีที่เป็นอันตรายหลายชนิด และการสูบร่วมกันอาจทำให้เกิดโรคติดต่อ จึงมีการกำหนดบทลงโทษเอาไว้สำหรับผู้ขาย ผู้ให้บริการ และผู้ที่นำเข้า
ในปี 2560 ได้มีการออกกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะคือ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ทำให้ในปัจจุบันกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้
- ผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้า มีความผิดตามคำสั่ง คกก.คุ้มครอบผู้บริโภค พ.ศ.2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกบุหรีไ่ฟฟ้า มีความผิดตามมาตรา 242 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นทันที
กฎหมายที่ระบุข้างต้นทั้งหมด สรุปได้ว่า การผลิต ขาย นำเข้า ส่งออกบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดตามกฎหมายประเทศไทย แต่คำถามที่สำคัญอีกข้อคือ การพกและสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดหรือไม่?
2. ความคลุมเครือของการบังคับใช้
ความเห็นในเรื่องนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนึงมองว่าการพกและใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ผิดกฎหมาย ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าผิดเพราะเป็นเท่ากับเป็นการรับซื้อของหนีภาษี ลองไปดูเหตุผลของทั้งสองฝ่ายกัน
- ฝ่ายมองบุหรี่ไฟฟ้าไม่ผิดกฎหมาย
คำถามว่ามีและใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ไหม? เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาหลายต่อหลายครั้ง เคสหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชายคนหนึ่งที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า 1 เครื่อง น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 1 ขวด โดยแจ้งว่ามีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557 พร้อมทั้งมีการอ้างถึงมาตรา 242 และ 246 ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 โดยเฉพาะวรรคที่ว่า “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจํานํา หรือรับไว้ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีความผิด..”
อย่างไรก็ตาม ทางด้านอัยการในคดีนี้มีคำสั่งฉบับ 1197/ 61 ไม่ฟ้องผู้ต้องหา เนื่องจากไม่ปรากฎหลักฐานว่ารับซื้อของนำเข้าที่หนีภาษีศุลกากร หรือแปลว่า ถ้าตำรวจอยากฟ้องผู้ที่ครอบครองหรือสูบบุหรี่ไฟฟ้า ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านำเข้ามาจากไหนก่อน และยังชี้แจงว่ามาตรา 242 และ 246 ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ไม่ได้กำหนดบทลงโทษตามที่เจ้าหน้าตำรวจที่ระบุไว้ด้วย ดังนั้น จึงไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยา
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการประชุมระหว่าง กมธ.สาธารณสุข กับ สตช. ซึ่งตัวแทนของ สตช. กล่าวว่า “การจะดำเนินคดีในกรณีบุหรี่ไฟฟ้าตามองค์ประกอบของกฎหมายจะสามารถดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายและให้บริการเท่านั้น ในส่วนของผู้สูบและผู้ครอบครองจะไม่สามารถจับกุมดำเนินคดีได้” เพราะไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมายครบถ้วน
และจากกรณีดังกล่าว กมธ.สาธารณสุข ยังเคยส่งหนังสือถึง ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 สรุปความเห็นที่ประชุมว่า “การจับกุมและแจ้งข้อหาผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และมีข้อเสนอแนะทั้งหมด 2 ข้อ ข้อแรกให้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานถึงกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า ข้อสองคือถ้าหากมีการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า สามารถสอบสวนได้ แต่ต้องปล่อยตัวทันทีหลังสอบสวนเสร็จ โดยไม่ต้องมีการประกันตัว
- ฝ่ายมองครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย
แต่ในวันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2566) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผบช.กมค.) เพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดฐานรับไว้ซึ่งของผิดกฎหมาย มีความผิดตามมาตรา 246 ประกอบมาตรา 244 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อีกกรณีนึงมาจากสำนักข่าวเดลินิวส์ที่เปิดเผย บทความเก่าในเว็บไซต์ ศยจ. (ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ) ซึ่งอ้างคำสั่งศาลฎีกาที่ 1411/2564 ตัดสินว่าผู้ครอบครองบารากุมีความผิด เช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า (ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557) เพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าห้ามนำเข้า ขาย สูบในที่สาธารณะ ดังนั้น การครอบครองจึงนำไปสู่คำถามว่าได้บุหรี่ไฟฟ้ามาได้อย่างไร? หรือแปลตามบทความว่า “การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงต่อการดำเนินคดี”
ดูเหมือนว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกตีความไปคนละทิศละทางอยู่พอสมควร แล้วในภาวะที่กฎหมายคลุมเครือเช่นนี้ มันนำไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง?
3. ตำรวจใช้ประโยชน์เปิดโหมดทุจริต
หนึ่งในข่าวที่ใหญ่ที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้น กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ถูกกล่าวหาว่ารีดไถเงินจาก อัน ซูหยิง ดาราไต้หวันและเพื่อน 27,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าที่เธอและเพื่อนครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด ทางตำรวจได้ออกมายอมรับมีการกระทำดังกล่าวจริง และจะมีการชี้ตัวในช่วงบ่ายวันนี้
ยังมีกรณีที่กลุ่มมัคคุเทศก์จีนเปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 28-29 มกราคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งในพัทยา ได้รีดไถเงินจากนักท่องเที่ยวจีนเพราะครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าเช่นกัน โดยเรียกเงินจำนวน 60,000 บาท ก่อนนักท่องเที่ยวจะต่อรองเหลือ 30,000 บาท ซึ่งล่าสุด พ.ต.อ. กุลชาต กุลชัย ผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยาได้ออกมาระบุว่า ได้สั่งพักงานเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว และได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
นอกจากการรีดไถ ยังมีรายการรับส่วยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกเช่นเดียวกัน ในรายการทุบโต๊ะข่าว ของช่อง Amarin TV นักข่าวได้ลงพื้นที่ตลาดห้วยขวาง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ สน.ห้วยขวางไม่เกิน 500 เมตร และพบว่ามีการขายบุหรี่ไฟฟ้าในละแวกใกล้เคียง สน. ถึง 3 ร้าน และเมื่อได้คุยกับพ่อค้าจึงได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การขายบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งนับเป็นสินค้าผิดกฎหมาย ต้องมีการส่ง ‘ส่วย’ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีอัตราราคาสามเรท
- ร้านที่เป็นกิจจะลักษณะ 80,000 – 100,000 บาท/ เดือน
- ร้านค้าแผงลอย 8,000 – 10,000 บาท/ เดือน
- ร้านเร่ขายของบนถนน 1,000 บาท/ เดือน
กรณีที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ยังเคยมีข่าวนักท่องเที่ยวฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวมาเลเซีย และนักท่องเที่ยวอิสราเอลถูกจับเพราะครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดไถเงินมาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการบิดเบือนกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ และยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่งฟื้นฟูไม่มากก็น้อย
4. มุมมองจากผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า
The MATTER เคยพูดคุยกับ อาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) ซึ่งเขาเคยให้ข้อมูลว่า เป็นไปได้ที่ในเมืองไทยจะมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากถึง 1 ล้านคน อ้างอิงตามกลุ่มซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีสมาชิก 500,000 คน
เขาให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าสถานะบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน นอกจากจะผลักให้ผู้ค้าบุหรี่ไฟฟ้าลงไปอยู่ใต้ดิน ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐแล้ว ยังทำให้การขายบุหรี่ไฟฟ้าให้เยาวชนไม่มีบทลงโทษอีกด้วย เขายกตัวอย่างบทสนทนากับเยาวชนคนนึง หลังเขาปฏิเสธขายบุหรี่ไฟฟ้าให้ว่า
“พี่ขายให้ใครก็ผิดอยู่ดี ขายให้ผมก็ผิด ขายให้คนแก่ 80-90 ปีก็ผิด ผิดเท่ากัน” ซึ่งเขาชี้ว่าตรรกะเช่นนี้ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าบุหรี่ไฟฟ้าหลายคนไม่รู้สึกอะไรถ้าจะขายแก่เยาวชน
“ถ้าเราทำให้มันถูกกฎหมาย มันก็สามารถควบคุมได้บ้าง ไม่ว่าเรื่องช่วงอายุ หรือวิธีการใช้ ซึ่งถ้าเราทำให้ถูกกฎหมายเราจะกำหนดได้ว่าผู้ซื้อต้องซื้อจากที่ใด รับประกันคุณภาพสินค้าได้ ได้คำแนะนำวิธีการใช้ที่ถูกต้อง” อาสากล่าว
“และมันจะสามารถเก็บภาษีเข้ามาได้ มันอาจจะไม่เยอะประมาณ 6 พันล้าน/ ปี แต่มันจะเป็นแบบทวีคูณเพิ่มขึ้นทีละสองเท่า แต่อันนี้เราก็เรียกร้องว่าต้องไม่เก็บภาษีโหดเกินไป เพราะเดี๋ยวจะผลักเขากลับใต้ดินหมดอีก แต่ยังไง ถ้าถูกกฎหมายเราเชื่อว่ากลุ่มที่ขายแบบผิดกฎหมายจะน้อยลง เพราะคนซื้อก็อยากได้ของที่เชื่อใจได้” อาสาทิ้งท้ายกับเรา
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะมีการพูดคุยเรื่องกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างจริงจัง เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้เกิดการรีดไถ เก็บส่วย ทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยแบบนี้
และถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะตั้งคำถามกันดังๆ อีกครั้งถึงการ ‘ปฏิรูปวงการตำรวจ’ เสียที
อ้างอิงจาก