ในสถานการณ์สมมติที่เรารู้มาว่าคนหนึ่งถูกคนในครอบครัวหรือคนรักทำร้ายร่างกาย สิ่งที่เราบอกเขาก็อาจจะเป็น “ให้เดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้นสิ” หรือไม่ก็ “แจ้งความไปเลยสิ”
แต่ในคววามจริงแล้วมันไม่ได้ทำง่ายอย่างที่คิด เช่นเดียวกับกรณีของดิว—อริสรา ทองบริสุทธิ์ นักแสดงที่เปิดเผยว่าเธอเคยอยู่ในสถานการณ์โดนแฟนเก่าทำร้ายร่างกาย
ดิว—อริสรา ออกมาเปิดเผยว่าที่ผ่านมา เธอถูกเบนซ์ เดม่อน หรือ ชัยวัฒน์ ขจรบุญถาวร 1 ใน 4 บ. จากครอบครัวมาเก๊า 888 ทำร้ายร่างกายอย่างหนัก และคนในครอบครัวก็รับรู้ แต่ไม่มีใครช่วยเหลือ วันไหนที่ดิวจะต้องออกไปทำงาน เขาก็จะต่อยหน้าไม่ยอมให้ไป จนเคยเกิดเป็นข่าวว่าดิวโดดงานเมื่อช่วงประมาณ 3 ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ดิวยังถูกทารุณกรรมด้วยวิธีการอื่นๆ อีกมากมายจนเกิดเป็นแผลในใจที่แม้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว แผลนั้นก็ยังคงอยู่
ดิวยังโพสต์อีกว่า “ทำไมเขาถึงอยู่ได้อย่างมีความสุขตลอดมา ในเมื่อที่ผ่านมาดิวหมดศรัทธาในชีวิต และต้องอยู่อย่างหวาดกลัวจากแผลเป็นในใจของดิว
“ทำไมดิวถึงต้องไปหาหมอ กินยา เพราะนอนไม่หลับทุกคืน และ มีอาการผวาแค่เพียงเพราะดิวเดินผ่านคนที่แค่ยกแขนลูบผม จนต้องเข้ารักษาพบหมอจิตแพทย์…”
ความสัมพันธ์ที่ดิวเจอ คือ ความสัมพันธ์แบบ abusive relationship หรือความสัมพันธ์ที่ถูกอีกฝ่ายล่วงละเมิดจนไปถึงทำร้าย ซึ่งในบางครั้งมันก็ถูกเรียกว่าเป็นความรุนแรงในครอบครัว (domestic violence) หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากแฟน-คนรักด้วย
แล้วความสัมพันธ์แบบ abusive relationship มีอะไรบ้าง?
เราสามารถแบ่งประเภทของ abusive relationship เป็น การทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ การทำร้ายด้วยวาจา การทำร้ายจิตใจ การบังคับให้ปลีกตัวออกจากสังคม เป็นต้น
ทั้งนี้ ไม่ว่าใครก็สามารถตกเป็นเหยื่อขอความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ เพียงแต่เหยื่อส่วนใหญ่ของความสัมพันธ์นี้มักเป็นผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้กระทำความผิดหรือ abuser เป็นผู้ชาย
ความสัมพันธ์แบบ abusive relationship เกิดขึ้นได้อย่างไร?
abusive relationship เป็นทางเลือกและเป็นพฤติกรรมที่มาจากเรียนรู้ของผู้กระทำ ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุเหตุผลโดยเฉพาะเจาะจงได้ อย่างไรก็ตามทัศนคติของคนที่เป็นผู้กระทำความผิด มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิที่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ (ทำร้ายหรือล่วงละเมิด) เชื่อว่าตัวเองมีอำนาจที่จะควบคุมและบงการอีกฝ่าย เคยมีประสบการณ์ที่ทำให้เชื่อว่าหากพวกเขาทำร้ายอีกฝ่ายแล้วจะได้ในสิ่งที่ต้องการ และเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ สังคมรอบข้างเองก็มีส่วนที่หล่อหลอมให้ผู้กระทำความผิดเชื่อว่าเขาสามารถทำร้ายคนอื่นได้ เช่นบทบาททางเพศที่สังคมกำหนดว่าการที่ผู้ชายใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ มองว่าเป็นเรื่องแสบและซนของเด็กผู้ชายเท่านั้น การให้อำนาจผู้ชายตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในบ้านทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจ การที่สื่อนำเสนอให้ผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งของและสรรเสริญการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง รวมไปถึงการที่พวกเขาไม่ถูกทำโทษเมื่อทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น ก็ต่างเป็นสิ่งที่ช่วยบ่มเพาะให้คนคนหนึ่งเป็นผู้กระทำความผิดโดยสมบูรณ์แบบ
และเมื่อย้อนกลับมาเรื่องของดิวแล้ว เราจะเห็นได้ว่าเบนซ์ มีอำนาจมากกว่าดิว เขาจึงสามารถอำนาจขู่เข็ญ บีบบังคับ กดดัน รวมไปถึงทำร้ายดิวได้ทั้งทางกายและจิตใจ
แล้วทำไมเหยื่อยังต้องทนอยู่อีก?
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากตกเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่มีอยากอยู่กับความหวาดกลัวโดยที่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งจะต้องโดนอะไรบ้าง แต่การเดินออกมามันก็ไม่ง่ายเลย
เช่นเดียวกับกรณีของดิว—อริสรา ที่ยังคงมีคนตั้งคำถามว่าทำไมเธอถึงปล่อยให้ถูกทำร้ายมาหลายปีล่ะ ทำไมไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก ซึ่งทางดร.นพ.วรตน์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิตก็ตอบคำถามนี้ในรายการโหนกระแสว่า เหยื่อ 9 ใน 10 จะไม่ออกมาพูดเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยมี 3 สาเหตุหลักๆ คือ 1. ไม่รู้จะไปบอกใคร 2. ไม่กล้า เพราะเหยื่อกลัว ส่วนคนรอบข้างก็รู้สึกว่าไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรือบางทีก็กลัวเช่นเดียวกับเหยื่อ 3. ไม่เชื่อว่าถ้าไปบอกคนอื่นหรือแจ้งความแล้วจะได้รับการช่วยเหลือ
นอกจากนี้ เมื่อเป็นความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นโดยมีผู้กระทำเป็นคนที่เหยื่อรักด้วยแล้ว เมื่อโดนทำร้าย เหยื่อก็มักจะกลับมาตั้งคำถามว่าเพราะตัวเองทำผิดเองหรือเปล่า และหากยิ่งถูกกระทำความรุนแรงซ้ำๆ พวกเขาเองก็จะยิ่งรู้สึกว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวเองมันลดลงไปด้วย และไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ ดังนั้น การที่ดิวและเหยื่อคนอื่นๆ เก็บความรู้สึกนั้นไว้นานๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในขณะนั้น พวกเขาเชื่อว่าไม่ควรจะขอความช่วยเหลือจากใคร
“เหยื่อฝังใจเป็น 10-20 ปี เมื่อถูกกระทำความรุนแรง เขาจะมีปฏิกิริยามากมาย ทั้งความกลัว ความเศร้า หลายคนโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้ถูกทำร้าย โทษว่าตัวเองทำตัวไม่ดี…ความมั่นใจในตัวเองมันหายไปหมดจนรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกเหล่านี้มักถูกเก็บอยู่ แล้วสะสมไปเรื่อยๆ การที่เขาเงียบไป อาจไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว เพียงแต่เขาแค่ไม่มีจังหวะและเวลา หรือคนมาช่วย”
ออกมาจากความสัมพันธ์แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกอยู่?
การเดินออกมาจากความสัมพันธ์ไม่ใช่จุดจบของเหยื่อในความสัมพันธ์นี้ เพราะแม้ความสัมพันธ์จบลง แต่ผู้กระทำก็ได้สร้างความเสียหายที่มากกว่าแค่ทางร่างกายให้กับเหยื่อไปแล้ว
นอกจากอาการบาดเจ็บทางร่างกาย รอบแผลฟกช้ำ และรอยแผลเป็นที่อาจหลงเหลืออยู่บนร่างกายเหยื่อ เหยื่อก็อาจจะรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวล สูญเสียความมั่นใจในตนเอง รู้สึกโดดเดี่ยว และมีความรู้สึกว่าเขาสมควรถูกทำร้าย สมควรโดนตำหนิ ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติทางจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า การทำร้ายตนเอง และโรค PTSD ซึ่งเป็นโรคจิตเภทชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้ายอีกด้วย
เช่นเดียวกับกรณีของดิว—อริสรา ที่ออกมาไลฟ์อธิบายเรื่องราวที่ออกมาแฉเว็บพนันมาเก๊า 888 โดยมีช่วงหนึ่งที่เธอกล่าวว่า เพียงแค่เห็นคนในครอบครัวนั้นจะแต่งงานอย่างมีความสุข เรื่องราวในอดีตที่เธอเคยถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจมันก็วนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แค่เห็นร่างกายตัวเอง ปมดังกล่าวมันก็ฉายซ้ำขึ้นมาอีก
อ้างอิงจาก