ของขวัญเซอร์ไพรส์ทุกเทศกาล ดอกไม้ติดมือมาฝากทุกครั้งที่เจอกัน ข้อความพรรณาความรักอย่างหาที่สุดไม่ได้ อาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่กำลังอยู่ในห้วงความรักใหม่ๆ แต่จะเริ่มรู้สึกแปลกไปบ้างไหมหากอะไรเหล่านั้น เกิดขึ้นกับคนที่เราเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองสัปดาห์?
เรารู้ดีว่าทุกคนต่างมีช่วงโปรโมชั่นเป็นของตัวเอง ช่วงที่ความรักจะผลักดันให้เราทำอะไรหวานซึ้งในแบบที่ไม่ได้เจอในช่วงปกติทั่วไป แต่ Love Bombing เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกัน จนเราอาจจะแยกไม่ออก ระหว่างช่วงโปรโมชั่นกับพฤติกรรม Red Flag ในความรักอย่าง Love Bombing
Love Bombing คืออะไร?
โดย Love Bombing หมายถึง พฤติกรรมทุ่มเทความรักให้มากมายในช่วงแรกที่รู้จักกัน แสดงความรัก แสดงความสนใจแบบไม่มีกั๊ก ทุกอย่างช่างเข้ากันได้ดี มีแต่ความเข้าอกเข้าใจ โน้มน้าวเราจนเชื่อว่า นี่แหละคือความรู้สึกที่แท้จริงของเขา แล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อเขามั่นใจว่าเราตกหลุมรักเขาอย่างโงหัวไม่ขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจพาให้เราดื่มด่ำความหวานในช่วงแรก หวานจนไม่เผื่อใจว่าโลกนี้มีรักรสขมที่รอเราในตอนท้าย
รสนิยม การใช้ชีวิต ทัศนคติ ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากันกับเรา เลือกสรรมาแต่สิ่งที่เราชอบ จนเราอดคิดไม่ได้ว่าคนที่เข้ากับเราได้ดีขนาดนี้ หรือเขาจะเป็นคนที่ใช่ เป็นใครที่เราตามหามานานหรือเปล่านะ ทั้งที่ระยะเวลาที่ได้รู้จักกันนั้นเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ก็ตาม
หลังจากที่เราเชื่อแล้วว่ารักที่ได้รับนั้นเป็นของจริง เราเริ่มเสพติดความรู้สึกเหล่านั้นจนรู้สึกว่าไม่อาจขาดความรัก ความใส่ใจ ที่อีกฝ่ายมีให้ จากฝ่ายที่นั่งเฉยๆ ก็มีความรักมาทุ่มใส่แบบไม่ต้องร้องขอ มาอยู่ในฝ่ายที่อยากจะมอบความรักกลับไปให้เขาบ้าง ให้สมกับที่ได้รับความรักจากเขามาแบบเต็มประตู ทีนี้แหละ เราจะเริ่มได้เห็นพฤติกรรมที่แปลกไป จากความรักที่เคยมีให้แบบไม่จำกัด เริ่มจืดจางห่างหาย จนไม่เหลือเยื่อใยในที่สุด เหมือนกับว่ารักที่ผ่านมานั้นแทบไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง
ร้ายกว่านั้น อาจนำไปสู่ Manipulation หรือ Gaslighting ในความสัมพันธ์ โน้มน้าวให้เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่า มีตัวตนได้ เพราะได้รับความรักจากเขา ไม่อาจขาดความรักของเขาได้ จนต้องยอมอยู่ในการควบคุมของเขา
คนเรา Love Bombing กันไปทำไม?
มีเรียม สตีล (Miriam Steele) ศาสตราจารย์ประจำคลินิกด้านสุขภาพจิต และ ลีอา ฮยอน (Lia Huynh) นักจิตบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ กล่าวว่า สาเหตุที่คนเรามีพฤติกรรม Love Bombing เนี่ย มาจาก 2 สาเหตุหลัก อย่างแรก ความต้องการบงการชีวิต (manipulation) และอย่างที่สอง ความต้องการจะแก้ไขความสัมพันธ์ในอดีต (ด้วยความสัมพันธ์ครั้งใหม่)
มาเริ่มกันที่สาเหตุแรก ความต้องการบงการชีวิต เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ต้องการเป็นที่สนใจ ยึดความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เชื่อว่าตนเองดีกว่า อยู่เหนือกว่าคนอื่น จึงต้องการที่จะควบคุมผู้อื่นให้อยู่ในเกมของตนเอง นอกจากจะมาในรูปแบบของผู้ควบคุมแล้ว อาจมาในรูปแบบของผู้ช่วยเหลือ คอยโอบอุ้มเราในตอนแรก ช่วยดึงเราขึ้นมาจากความรู้สึกแย่ๆ เหมือนกับเป็นอัศวินขี่ม้าขาวในช่วงเวลาที่เราไม่มีใคร คอยหล่อเลี้ยงเราด้วยบุญคุณนั้น จนเราต้องยอมตกอยู่ในการควบคุมของเขาในที่สุด
ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีพฤติกรรมทุ่มเทความรักจะมีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองกันทั้งหมด บางครั้งก็อาจมาจากอีกสาเหตุที่กล่าวไปข้างต้น นั่นคือ ความต้องการจะแก้ไขความสัมพันธ์ในอดีต เอ๊ะ ใครๆ ก็ต้องการจะพัฒนาความสัมพันธ์ครั้งใหม่ให้ดีกว่าเก่าหรือเปล่า แล้วทำไมถึงกลายเป็น Red Flag ไปได้นะ
หากยังนึกภาพไม่ออกว่าความต้องการจะแก้ไขความสัมพันธ์ในอดีต จะกลายเป็นพฤติกรรมทุ่มเทความรักได้ยังไง ลองมาดูตัวอย่างนี้กัน A เคยถูกทอดทิ้ง จนรู้สึกว่าไม่อยากจะถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแล้ว เมื่อมีรักครั้งใหม่กับ B จึงพยายามทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มี ทำทุกอย่างให้มั่นใจว่า B จะไม่ทอดทิ้งไปอย่างที่เคยถูกกระทำ เมื่อมั่นใจแล้วว่า B จะไม่หายไปไหนแน่ๆ ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีไป ไม่ใส่ใจ ไม่แสดงความรักเท่าเดิม เพราะ A มั่นใจแล้วว่า B จะไม่หายไปไหน ถือว่าได้แก้ปมในความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของตนเองก็พอใจแล้ว
เราจะแยก Love Bombing กับความจืดจางตามเวลาได้ยังไง?
หลายคนอาจรู้สึกว่า มันก็ไม่แปลกที่คนเราจะมีช่วงหวาน ช่วงจืดจางไปตามกาลเวลา ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หวานชื่นไปตลอดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน คือ ‘เจตนาที่แท้จริง’
โดย Love Bombing ไม่ได้เป็นเพียงช่วงหมดโปรที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่เป็นความตั้งใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก ทุ่มเทความรักให้มากมาย เพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่างในใจ ไม่ว่าจะเป็นควบคุมให้อยู่หมัด เติมเต็มความต้องของตนเองจนเพียงพอแล้วก็ไป หรือต้องการแก้ไขปมในใจแล้วก็จาก
ทั้งนี้ Love Bombing ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในช่วงแรกรักเท่านั้น อาจเกิดขึ้นหลังจากการทะเลาะกันครั้งใหญ่ หรือการง้องอนหลังจากเลิกกันก็ได้ ซึ่งนั่นก็อาจเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นความรัก ความตั้งใจ ในแบบที่ไม่เคยได้มาก่อน แล้วกลับมาทำพฤติกรรมแบบเดิมในภายหลัง
โปรดปล่อยใจให้ดื่มด่ำความรัก แต่ระมัดระวังในทุกก้าวความสัมพันธ์ เริ่มต้นด้วยการเติมเต็มความรักให้ตนเองให้มากพอ จนไม่ต้องติดกับดัก พึ่งพาความรักของคนอื่นเพื่อโอบอุ้มใจเราเอง
อ้างอิงจาก