“สวัสดี และนี่คือเสียงของชาวเล…ในวันนี้ที่บ้านของพวกเราไม่เหมือนเดิม พื้นที่ที่เคยอยู่ ทางเดินที่เคยเดิน ชายหาดที่เคยนอน ทะเลที่เคยทำมาหากิน ตอนนี้มีคนมาจับจองไว้ และค่อยๆ ขับไล่พวกเราออกไปเรื่อยๆ”
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็น #saveหลีเป๊ะ กันมานานหลายปี แต่จวบจนทุกวันนี้ ปัญหาที่พวกเขาเผชิญก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
แล้วจริงๆ พวกเขาต้องเจอปัญหาอะไรกันบ้าง ในวันนี้ The MATTER จึงขอพาทุกคนไปฟังเสียงของคนในพื้นที่จาก ‘เวทีเสวนาของชาวเลท้องถิ่นบนเกาะหลีเป๊ะ’ ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (7 พฤษภาคม) กันเลย
1. ปัญหาด้านที่ดิน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2440 ชาวเลอูรักลาโว้ยเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล จนต่อมาในปี 2452 ก็เกิดข้อพิพาทเรื่องชายแดนกับมาเลเซีย แต่เมื่อมีเอกสารว่าชาวเลอูรักลาโว้ยที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะต่างๆ ยืนยันว่าตัวเองเป็นคนไทย ข้อพิพาทดังกล่าวก็ยุติ และหมู่เกาะต่างๆ กลายเป็นเขตแดนของไทยมาถึงปัจจุบัน
กระทั่งในปี 2497 รัฐบาลออก พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อจัดระเบียบการถือครองที่ดินและมีผลให้เจ้าของที่ดินต้องออกโฉนดเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ แต่ชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะหลายรายไม่ได้ไปร่วมออกโฉนด จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นชาวเลไม่รู้หนังสือ ระบบแนวคิดของชาวเล หรือรวมไปถึงอคติทางชาติพันธุ์
เมื่อชาวเลหลายคนไม่ได้ขอโฉนดที่ดินเป็นของตัวเองก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น เกิดการจดโฉนดที่ดินทับที่อยู่อาศัยของชาวเล และยังมีการกว้านซื้อที่ดินจนเกิดเป็นข้อพิพาทอย่างต่อเนื่อง
2. การประกอบอาชีพ
ชาวเลเคยสามารถทำมาหากินได้อิสระ แต่เมื่อในปี 2517 ที่มีการออก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บนเกาะหลีเป๊ะ ก็ทำให้ชาวเลต้องเปลี่ยนไปทำมาหากินในสถานที่ที่ทางการจัดไว้ให้ จากที่เคยสามารถหาเลี้ยงชีพ บนบริเวณรอบๆ บก ตอนนี้พวกเขาก็ต้องออกห่างจากบกกว่าเดิม
เมื่อต้องออกห่างจากบก ก็ต้องไปดำน้ำในที่ลึก ส่งผลให้คนเป็นโรคน้ำหนีบ หรือ Decompression sickness ที่เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แก๊สเฉื่อยในร่างกายจะรวมตัวกันขนาดใหญ่ทำให้เกิดฟองก๊าซไปอุดตันภายในกระแสเลือด หรือไปซึมเข้าเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ส่งผลให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บและเกิดอาการต่างๆ ตามมา
รวมไปถึง สมชาย ฝั่งชลจิตร ตัวแทนจากพรรคก้าวไกลที่เข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ ยังตั้งข้อสังเกตเอาไว้อีกว่า เรือที่ชาวเลใช้ เป็นเรือที่ไว้ใช้สำหรับบริเวณชายฝั่งเท่านั้น ไม่เหมาะกับการประมงในน้ำลึกเช่นกัน
“เราไม่สามารถหาหอยได้อีกแล้ว เพราะกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว โดนจับ โดนปรับ เราอยากใช้วิถีชีวิตดั้งเดิม อยากให้จัดพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำมาหากิน” ชาวหลีเป๊ะระบุ
3. สิ่งแวดล้อม
ในตอนนี้ หลีเป๊ะกำลังเผชิญกับปัญหาขยะล้นเกาะ ทั้งยังประสบกับปัญหาน้ำเน่าเสีย เพราะแม้โดยสภาพของหลีเป๊ะจะเป็นเกาะ ที่หากฝนตกลงมา น้ำฝนก็จะไหลลงทะเล แต่เมื่อหลีเป๊ะยังถูกปิดทางระบายน้ำ ก็ทำให้น้ำท่วมขังจนเกิดน้ำเน่าเสีย ทำให้คนในพื้นที่เป็นโรคที่เกิดจากน้ำ เช่นเชื้อรา น้ำกัดเท้า
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องขาดแคลนน้ำ เนื่องจากชาวบ้านต้องใช้น้ำจากบ่อบาดาล แต่เมื่อมีรีสอร์ทเข้ามา ทางรีสอร์ทสามารถขุดน้ำได้ลึกกว่า ทำให้น้ำแห้งไปหมด ทางตัวแทนของชาวหลีเป๊ะจึงเสนอให้มีการกำหนดว่ารีสอร์ทแต่ละแห่งสามารถขุดบ่อบาดาลเท่าไร
4. รายรับ – รายจ่าย
“รายได้เท่าคนจน แต่รายจ่ายเท่าคนรวย” นี่คือคำกล่าวจากตัวแทนของชาวหลีเป๊ะที่ขึ้นไปบอกเล่าปัญหา
แม้ว่าหลีเป๊ะจะเป็นแห่งท่องเที่ยวชื่อดัง จนหลายๆ คนมักคิดว่าชาวหลีเป๊ะก็น่าจะรวย แต่แท้จริงแล้ว พวกเขามีรายจ่ายเฉลี่ย 20,000 – 25,000 บาท แต่มีรายรับเพียง 15,000 – 20,000 บาทเท่านั้น
โดยตัวแทนชาวหลีเป๊ะยกตัวอย่างจากปัญหาค่าแรงจากการขับเรือนำเที่ยวว่า ราคานั้นถูกกำหนดขึ้นโดยผู้ประกอบการบางกลุ่มเท่านั้น และพวกเขาก็มีงานไม่ถึง 6 เดือนต่อปี
อีกทั้ง ค่าไฟของแต่ละครัวเรือนก็อยู่ที่ 1,500 – 3,000 บาท ซึ่งชาวบ้านต้องจ่ายล่วงหน้า ในระบบเติมเงินก่อนแล้วใช้ทีหลัง ถ้าไม่มีเงินเติมก็จะถูกตัดไฟ
ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้ระบบดังกล่าว ทางการไฟฟ้าระบุว่า เพราะชาวเลเกาะหลีเป๊ะมีเพียงทะเบียนบ้านชั่วคราว การไฟฟ้าเลยไม่สามารถของบประมาณติดตั้งระบไฟฟ้าได้
5. การศึกษา
แม้การศึกษาจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่การเดินทางในหลีเป๊ะก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้นักเรียนในพื้นที่นัก เพราะนอกจากจะเดินทางไปโรงเรียนลำบาก [จากการที่มีเจ้าของที่ดินปิดกั้นเส้นทางการไปโรงเรียน] และมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่นเสียงรบกวนแล้ว การเรียนการสอนในโรงเรียนก็ยังมีถึงแค่ระดับชั้นมัธยมต้นเท่านั้น ถ้าเด็กต้องการเรียนต่อ ก็ต้องย้ายไปเรียนในเมือง
โดยการจากสำรวจ พบว่าทั้งเกาะหลีเป๊ะ มีคนจบปริญญาตรีแค่ 2 คน และปริญญาโทแค่ 1 คนเท่านั้น ชาวหลีเป๊ะจึงอยากให้มีการยกระดับการศึกษา มีโรงเรียนมัธยมปลาย หรือ ปวช. เพราะอยากให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา เพื่อที่อย่างน้อยก็เป็นพื้นฐานชีวิตให้ลูกหลานชาวหลีเป๊ะได้
6. พิธีกรรมและความเชื่อ
ปัญหาเรื่องที่ดิน ยังส่งผลกระทบต่อพิธีกรรมและความเชื่อของคนในพื้นที่หลีเป๊ะอีกเช่นกัน เพราะการสร้างกำแพงประตูกั้นหาด หรือการสร้างรั้วกั้น เพื่อปิดกั้นทางสัญจร ยังเป็นการทำลายวิถีวัฒนธรรมของชาวหลีเป๊ะ เช่นในบางพิธีกรรมระบุว่าต้องเดินไปทางทิศตะวันออก แต่เมื่อเส้นทางนั้นถูกปิด พวกเขาก็ต้องใช้เส้นทางอื่นแทน
รวมไปถึงยังมีคนได้เอกสารสิทธิ์ของที่ดินฝังศพ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อได้ เพราะเจ้าของเอกสารสิทธิ์อนุญาตให้พวกเขาสามารถเข้าไปไหว้ได้เท่านั้น
อ้างอิงจาก