หลายคนคงจำจูบแรกของตัวเองได้เป็นอย่างดี ความรักครั้งแรกในวัยแรกแย้มที่ทั้งใสซื่อและบริสุทธิ์ แม้ปัจจุบันการจูบจะเป็นการแสดงออกถึงความรักได้เป็นอย่างดี แต่นักวิทยาศาสตร์สงสัยเหลือเกินว่ามนุษย์เราเริ่มจูบครั้งแรกเมื่อไหร่กันแน่? และทำไมเราถึงเลือกใช้การสัมผัสริมฝีปากเพื่อแสดงความรัก แทนการใช้หน้าผากชนกันหรือใช้นิ้วหัวแม่มือแตะจมูก
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบหลักฐานชิ้นล่าสุด ที่บ่งชี้ว่าการจูบแบบโรแมนติคเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 4,500 ปีก่อน (2,500 ปีก่อนคริสตกาล) ผ่านแผ่นภาพดินเหนียวของชาวเมโสโปเตเมีย ซึ่งแสดงภาพการจูบอย่างดูดดื่มของมนุษย์สองคน หลักฐานดังกล่าวลบล้างหลักฐานเดิมจากงานเขียนในสมัยอินเดียโบราณ ที่บอกเราว่าการจูบแบบโรแมนติคเกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อน
โทรเอลส์ แพลง อาร์เบล และ โซฟี ลันด์ ราสมุสเซน สองนักวิจัยที่ค้นพบหลักฐานดังกล่าวชี้ว่า พวกเขาเชื่อว่าการจูบในวัฒนธรรมเมโสโปเตเมียสามารถเป็นได้ทั้งเรื่องโรแมนติคและมิตรภาพ ดังนั้น การจูบจึงน่าจะมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นมานานมากแล้วในประวัติศาสตร์
“เราเขียนไว้ในบทความของเราว่า ในสมัยโบราณ การจูบแบบโรแมนติคเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และหลักฐานที่มีไม่ได้บ่งชึ้วาจุดเริ่มต้นคือที่ไหน” อาร์เบลกล่าวต่อว่าการหาคำตอบในเรื่องนี้ “บางทีมันอาจจะต้องย้อนกลับไปไกลถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์”
ความเห็นของอาร์เบลสอดรับกับงานวิจัยที่พบว่า นีแอนเดอร์ทัล ญาติใกล้ชิดของมนุษย์โบราณมีการจูบกันมานานกว่า 100,000 ปีแล้ว รวมถึงในปัจจุบัน ญาติใกล้ชิดของมนุษย์อย่างลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ ต่างก็มีการจูบเช่นกัน (มีเพียงลิงโบโนโบที่จูบเพื่อแสดงความรัก)
“การศึกษาทางโบราณคดีชี้ว่า การจูบแบบโรแมนติคไม่ใช่เรื่องทั่วไป แต่มักจะเกิดขึ้นในอารยธรรมที่ซับซ้อน” อาร์เบลตั้งข้อสังเกตต่อว่า “หลักฐานที่เรามีชี้ว่า การจูบอย่างโรแมนติคเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก และพร้อมกันนั้น หลักฐานยังชี้อีกว่ามันมักเกิดในสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นชัดเจนมากกว่า”
คำตอบยังคงเปิดกว้างว่ามนุษย์เราเริ่มใช้การจูบแสดงความรักครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่ทั้งคู่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่รุดหน้า จะช่วยให้ไขคำตอบของคำถามข้อนี้ได้ในที่สุด
ทั้งนี้ การศึกษานี้ยังทำให้เข้าใจจุดเริ่มต้นของการแพร่เชื้อโรคทางปาก และความรู้ทางการแพทย์ของมนุษย์สมัยโบราณได้ดีขึ้นอีกด้วย เช่น จดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนขึ้นเมื่อ 4,000 ปีก่อนชี้ว่า มีการเตือนให้ห้ามใช้แก้วน้ำร่วมหรือหลับนอนบนเตียงเดียวกับนางสนมในพระราชวัง ที่มีอาการป่วยและมีรอยแผลบริเวณริมฝีปาก
อ้างอิงจาก:
https://www.science.org/doi/10.1126/science.adf0512