ชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการเพทย์ เป็นหนึ่งปัญหาที่ได้รับการพูดถึงมาอย่างยาวนาน ทว่า ปัญหาเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อีกทั้งล่าสุดก็ยังมีข้อมูลจากภาคีพยายบาล ‘Nurses Connect’ ที่ระบุว่ายังมีพยาบาลที่ถูกบีบให้ควบเวรติดต่อกัน 24 ชั่วโมง เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรอีกเช่นกัน
วันนี้ (2 มิถุนายน) The MATTER จึงต่อสายเพื่อพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าวกับ สุวิมล นัมคณิสรณ์ ตัวแทนสหภาพบุคลากรทางการแพทย์สาขาพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล จาก Nurses Connect ซึ่งเธอก็เล่าให้เราฟังว่าตอนนี้ พยาบาลในภาพรวมหลายๆ คนในโรงพยาบาลรัฐ กำลังประสบกับปัญหาใหญ่ๆ ทั้งสิ้น 4 ปัญหาดังนี้
– ชั่วโมงการทำงานที่เกินจากกฎหมายแรงงานกำหนด
– ไม่มีกรอบกำหนดภาระงานที่ชัดเจน
– ค่าตอบแทนน้อย
– ประชาธิปไตยในที่ทำงาน (ถูกฝ่ายบริหารรังแกถ้ามีคนไปร้องเรียน)
และยังมีปัญหาอื่นๆ อย่างเพื่อร่วมงาน หรือปัญหาที่ลูกจ้างของรัฐมีสวัสดิการที่ไม่ดีอีกเช่นกัน
1. ชั่วโมงในการทำงานของพยาบาลตอนนี้เกินกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด โดยตอนนี้ พยาบาลส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ที่ 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ก็ต้องเกริ่นก่อนว่าจริงๆ แล้ว พยาบาลไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงาน จึงไม่สามารถใช้กฎหมายแรงงานมาควบคุมชั่วโมงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้
ส่วนกฎหมายที่ใช้ได้ตอนนี้ก็คือประกาศจากสภาวิชาชีพทั้งแพทย์และพยาบาล ที่แนะนำให้ทำงาน 40-48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือถ้ามีการพิจารณาให้ทำเกินกว่านี้ ก็จะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ ซึ่งสุวิมลก็ระบุว่า ปัจจุบันไม่ได้เป็นไปตามความสมัครใจ เพราะทุกคนก็จะอยู่ในสภาพบังคับให้ต้องทำ OT
ส่วนสาเหตุที่ต้องทำ OT สุวิมลก็ให้เหตุผลว่า เพราะได้เงินน้อย และมีคนทำงานไม่พอ ทำให้หลายๆ คนต้องทำงานเกิน 40-48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่แล้ว โดยอาจจะอยู่ที่ 60 ชั่วโมง หรือส่วนใหญ่ก็มักจะต้องทำงานกัน 70-80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
สุวิมล ยังเล่าอีกว่า Nurses Connect ที่คอยรับเรื่องร้องเรียนปัญหาต่างๆ ก็เพิ่งได้รับการร้องเรียนจากพยาบาลที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลสังกัด กทม. ว่ามีการบีบให้พยาบาลทำงานควบเวร เช้า บ่าย ดึก ติดต่อกัน 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีการสูญเสียพยาบาลออกจากระบบ (ทั้งลาออก เกษียณ เสียชีวิต ฯลฯ) ในจำนวนมาก อีกทั้งในช่วงนี้เจ้าหน้าที่หลายคนก็ติด COVID-19 ที่เริ่มกลับมาระบาด จึงกลายเป็นว่าทางโรงพยาบาลก็ต้องมาบีบให้เจ้าหน้าที่ขึ้นเวร 24 ชั่วโมงแทน และก็ไม่ได้มีแค่ในสังกัด กทม.เท่านั้นที่เผชิญกับปัญหาดังกล่าว
ในส่วนของเวลาเวรพยาบาล สุวิมลก็เล่าให้ฟังว่ามีทั้งสิ้น 3 เวร ได้แก่ เวรเช้า (8.00-16.00 น. มีเวลาให้พัก 1 ชั่วโมง) เวรบ่าย (16.00-00.00 น. มีเวลาให้พัก 1 ชั่วโมง) และเวรดึก (00.00-8.00 น. ไม่กำหนดเวลาพักที่ชัดเจน)
อีกทั้ง สุวิมลก็ยังชี้ให้เห็นว่าในหลายๆ ที่ พยาบาลที่ลงเวรดึก ก็ต้องเข้าไปช่วยทำงานตอนเวรเช้าต่อ และหลายๆ ครั้งแม้จะเลิกเวรแล้ว ก็ยังอยู่ต้องรอเพื่อส่งเวรอีก
แล้วในกรณีที่ต้องควบเวร 24 ชั่วโมง พยาบาลได้นอนบ้างไหม? ประเด็นนี้ สุวิมลกล่าวว่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับแผนกด้วย เช่นถ้าในแผนกผู้ป่วยหนัก ก็ไม่ได้นอนแน่ๆ เพราะต้องเฝ้าคนไข้ตลอดเวลา ส่วนแผนกอื่นๆ ที่เบาลงบ้าง ก็จะมีช่วงที่ได้พักสัก 10-20 นาที แต่ถามว่าได้นอนไหม ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้นอนเพราะมีงานให้ทำตลอดเวลา
จากปัญหาเหล่านี้ สุวิมลจึงมองว่า ตามมาตรฐานเลยก็ควรจะมีการกำหนดที่ชัดเจนว่าพยาบาลต้องอยู่เวรได้สูงสุดเท่าไร แต่กลายเป็นว่ามันขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงพยาบาลว่าจะกำหนดอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วยงาน แต่ละองค์กรว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันอย่างไร ซึ่งส่วนตัวก็เข้าใจว่าถ้าจะออกเป็นข้อบังคับมาเลย ก็มีข้อจำกัดในโรงพยาบาลบางแห่งที่บุคลากรน้อย ก็กลายเป็นปัญหาวนลูปกันไป
สุวิมลยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการขึ้นเวร 24 ชั่วโมงซึ่งเป็นระยะเวลาการทำงานที่ ‘มันเกินลิมิต’ ของมนุษย์อีกว่า จริงๆ แล้วกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก็มีนโยบาย ‘2P Safety’ ได้แก่ Patient and Personnel Safety หรือ ความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข
แน่นอนว่าการทำงาน 24 ชั่วโมงมันผิดทั้ง 2P เพราะสุวิมลระบุว่า การทำงานโดยไม่พักก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการดูแลผู้ป่วย เช่น ฉีดยาผิด ทำหัตถการผิด เนื่องจากศักยภาพมนุษย์ไม่สามารถทำงานได้ติดต่อกัน 24 ชั่วโมง แล้วในส่วนของคนทำงานที่ต้องอดนอน สุขภาพก็เสีย สติก็ไม่ต่างจากคนเมาเหล้าเลย เพราะฉะนั้นถ้าบุคลากรยังไม่ปลอดภัย คนไข้ก็จะไม่ปลอดภัยเหมือนกัน ยิ่งเฉพาะกับการทำงานที่ต้องทำกับชีวิตคนอีก
2. ประเด็นกรอบภาระงานของพยาบาลก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทาง Nurses Connect มองว่าต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนว่าพยาบาล 1 คน จะต้องดูแลคนไข้กี่คน เช่นพยาบาลใน ICU ต้องดูแลคนไข้ 1 ต่อ 1 หรือพยาบาลวอร์ดอื่นๆ ก็ไม่ควรต้องดูคนไข้เกิน 1 ต่อ 6 ซึ่งเท่านี้ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากแล้ว
สุวิมลจึงมองว่า ต้องมีการออกกฎหมายให้ชัดเจนไปเลยว่าใน 1 สัปดาห์ ต้องให้ทำงานได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง หรือถ้าจะมี OT ก็ต้องเกิดจากความสมัครใจจริงๆ แล้วกำหนดให้ไม่เกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และกำหนดเรื่องภาระงานของพยาบาลด้วยเช่นกันว่าพยาบาล 1 คน ต้องดูแลคนไข้ได้ไม่เกินกี่คน
3. นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องของค่าตอบแทน ก็เป็นอีก 1 สิ่งที่น่ากังวล เพราะไม่เคยมีการปรับเงินขึ้นเลยในตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา และพอมีการปรับขึ้น ก็ปรับขึ้นในอัตราที่ไม่มาก
ในวันธรรมดา ที่ไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด เวรช่วงเช้าก็จะถือว่าเป็นวันทำงานปกติ แต่ในเวรบ่ายและเวรดึกก็จะได้ค่าตอบแทน 240 บาทต่อ 1 เวร ต่อมาก็มีการปรับขึ้นมาเป็น 350 บาทซึ่งบังคับใช้ไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ส่วนในวันหยุด โรงพยาบาลในเครือ สธ.ก็จะได้อยู่ที่ประมาณ 600 บาทต่อเวร และเพิ่งมีการปรับขึ้น 8% ส่วนของ กทม.ก็อยู่ที่ 1,200 บาทต่อเวรมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการปรับขึ้น เงินที่ได้ก็ไม่เท่ากัน เกิดเป็นความเหลื่อมล้ำขึ้นมา [เช่น คนแรกได้เงิน 1,000 บาท อีกคนได้เงิน 2,000 บาท พอมีการปรับขึ้น 10% คนแรกกับอีกคนก็ยังได้เงินห่างกันอยู่ดี]
แม้ว่าจะมีการปรับเงินขึ้น และโรงพยาบาลในสังกัด กทม.จะให้เงินเวรที่มากกว่า แต่สุวิมลก็ชี้ว่าสุดท้ายแล้ว โรงพยาบาลของ กทม.ก็ยังประสบกับปัญหาบุคลากรที่ไม่เพียงพออยู่ดี
อย่างไรก็ดี สุวิมลก็มองว่า การปรับค่าตอบแทนให้มันเพิ่มขึ้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ เพราะถ้ายังได้ค่าตอบแทนเท่านี้ ก็ไม่มีทางที่บุคลากรจะยอมทำงานลดลด เพราะแต่ละคนก็มีภาระค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกัน คนที่ออกจากระบบไป ก็จะไม่กลับเข้ามาในระบบอีกเช่นกัน เพราะเงินก็ได้น้อย แล้วสวัสดิการก็ด้อยกว่าโรงพยาบาลในเอกชน
“เราต้องทำทั้งดึงคนกลับมาในระบบ รักษาคนที่อยู่ในระบบ ลดชั่วโมงทำงาน กำหนดภาระงาน แล้วก็เพิ่มค่าตอบแทนไปพร้อมกัน เพราะว่าทุกวันนี้ เราจะมีพยาบาลที่จบใหม่ต่อปีประมาณ 10,000 คนทั่วประเทศ แต่เราจะมีอัตราการสูญเสียพยาบาลทั้งหมด ทั้งเสียชีวิต ลาออก เกษียณ อยู่ที่ 7,000 คนต่อปี…แล้วอัตราการลาออกของพยาบาลจบใหม่ก็คือ ลาออกภายใน 1 ปีแรก 25% แล้วมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปีถัดไป ปัญหาของคนไม่พอก็เลยวนลูปอยู่แบบนี้” สุวิมลกล่าว
พอคนเข้ามาทำงาน เจอสวัสดิการที่ไม่ดี เจอค่าตอบแทนที่ไม่ดี สังคมการทำงานที่ไม่ดี ภาระงานที่หนักเกินไป ก็ลาออก สุวิมลเสริม
4. เมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน) Nurses Connect โพสต์ว่า ได้รับข้อมูลจากหลายโรงพยาบาลในสังกัด กทม.ว่าขณะนี้ เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก เนื่องจากการสูญเสียบุคลากรจากภาระงานที่มากเกินไป จนถึงขั้นต้องบีบให้พยาบาลทำงานควบเวร เช้า บ่าย ดึก ติดต่อกัน 24 ชั่วโมง ทำให้บุคลากรต้องร้องเรียนปัญหาด้วยตัวเอง ผ่านช่องทาง Traffy Fondue แต่กลายเป็นว่าปัญหากลับย้อนกลับมายังโรงพยาบาล พร้อมเหตุผลว่า “ก็คนไม่พอ” อีกทั้งยังมีการล่าแม่มดจากฝ่ายบริหารเพื่อตามหาว่าใครเป็นผู้ร้องเรียนปัญหาเหล่านี้
สุวิมลจึงเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า เมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้น เรื่องดังกล่าวก็จะถูกส่งไปที่สำนักการแพทย์ แล้วก็จะตีกลับมาที่โรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลก็จะตอบกลับไปว่ากำลังเปิดรับสมัครคนอยู่ แล้วเรื่องก็จะจบในส่วนของกระบวนการการร้องเรียน แต่หลังจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นเรื่องภายในโรงพยาบาล ที่ฝ่ายบริหารจะมาตามหาว่าใครเป็นคนส่งเรื่องร้องเรียนไป พอเจอก็จะเรียกไป ‘ปรับทัศนคติ’ (การเรียกไปอบรมหรือไปต่อว่า)
“จริงๆ มันไม่ต้องมานั่งหาด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนร้องเรียน อันนี้มันเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด” สุวิมลกล่าว
ส่วนโรงพยาบาลในเครือ สธ.ไม่ได้มีแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เหมือน กทม. ดังนั้น ปัญหาเหล่านี้จึงถูกส่งมาร้องเรียนผ่านเพจ Nurses Connect แล้วก็ทำได้แค่โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ตอนนี้กำลังมีการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยสุวิมลเองก็เห็นว่าอยากให้บุคลากรทางการแพทย์ไปเข้าร่วมเป็นสหภาพบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองแล้วก็รวมตัวกันเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนทำงานในทางการแพทย์ได้
อ้างอิงจาก