“ในวันนี้ สิ่งที่หนูทำไม่ได้เป็นเรื่องฆ่าคนตาย เป็นการแสดงออกทางความคิดผ่านสัญญะ การแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ทำให้หนูเรียนไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เรียนไม่ได้คือโรงเรียนและบุคลากร”
คำพูดของ หยก—ธนลภย์ เยาวชนวัย 15 ปี ที่กลายเป็นผู้จุดประเด็นในสังคม หลังเธอยืนยันใส่ชุดไปรเวท และย้อมสีผมไปเรียนในชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
ก่อนจะแจ้งว่าเธอถูกโรงเรียนไล่ออกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้เธอตัดสินใจปีนรั้ว–หน้าต่าง เพื่อเข้าเรียน กลายเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างของสังคมอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่ต่อต้านอำนาจนิยมในโรงเรียน แต่ก่อนหน้านี้ หยกยังเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถูกคุมขังด้วยหมายจับในคดี ม.112 ที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี จ.นครปฐม รวม 51 วัน จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเธอจะนำมาสู่การข่มขู่คุกคาม ทั้งจากเจ้าหน้าที่และกลุ่มปกป้องสถาบันฯ ในช่วงปีที่ผ่านมาด้วย
หยก—ธนลภย์ เจออะไรมาบ้าง? The MATTER ชวนย้อนดูไทม์ไลน์สิ่งที่นักกิจกรรมวัย 15 ปี ต้องเผชิญ
1.
บทความชวนทำความรู้จักหยก ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า หยก (ก่อนหน้านี้ใช่นามสมมติว่า ‘สหายนอนน้อย’) เริ่มสนใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2565 ก่อนจะเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ กิจกรรม ‘13 ตุลาหวังว่าสายฝนจะพาล่องไป’ ที่บริเวณเสาชิงช้า วันที่ 13 ตุลาคม 2565
2.
การชุมนุมดังกล่าวจะเป็นเหตุให้หยกถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่ในเวลาต่อมา วันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 เธอเปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคุกคาม 3 ครั้ง ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
ครั้งแรก – วันที่ 20 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นตำรวจสันติบาลมาที่บ้าน และบอกกับสมาชิกครอบครัวว่า ให้พาเธอไปพบจิตแพทย์ แต่ในขณะนั้นหยกไม่อยู่บ้าน ในครั้งนั้นไม่ได้มีการแสดงบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานแต่อย่างใด
ครั้งที่ 2 – วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 มีบุคคลอ้างว่าเป็นตำรวจ มาหาที่บ้านอีก แต่ไม่พบตัว พบเพียงสมาชิกในครอบครัว ซึ่งตำรวจก็ได้บอกว่า กำลังถูกดำเนินคดี มีหมายฟ้องมาแล้วด้วย แต่ไม่ได้แสดงเอกสาร พร้อมพูดคุกคามด้วยว่า “เดี๋ยวได้เห็นดีแน่” และ “มีลูกแบบนี้ฆ่าตัวตายดีกว่า”
ครั้งที่ 3 – เมื่อไม่พบที่บ้าน จึงตามไปหาที่โรงเรียน โดยพยายามบังคับให้โรงเรียนและครูพาตัวหยกมาพบ แต่โรงเรียนปฏิเสธ โดยระบุว่า หยกเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี หากจะดำเนินการใดๆ จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองก่อน
และนอกจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไปตามตัวที่บ้านหรือที่โรงเรียน ยังมีประชาชนคนหนึ่งนำภาพกิจกรรมที่เธอทำไปโพสต์ประจานและข่มขู่หยกด้วย โดยเขียนข้อความว่า “บางทีกูเกรงใจภาวะการเป็นผู้นำของกูนะ แต่กูลั่นแล้วกูจะไม่คืนคำ มึงอย่าลืมคำที่มึงลั่นไม่งั้นลูกหมานะมึง”
3.
การชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565 ยังเป็นข้ออ้างให้ อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) กล่าวหาเธอตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 จนกระทั่ง สน.สำราญราษฎร์ ได้ออกหมายเรียกหยกเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์
นั่นทำให้เธอกลายเป็นเยาวชนที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้รับหมายเรียกในคดี ม.112 ด้วยวัยในขณะนั้นเพียง 14 ปีเศษ
หมายเรียกฉบับที่ 2 ระบุให้หยกไปพบเจ้าหน้าที่ ที่ สน.สำราญราษฎร์ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ศูนย์ทนายฯ ชี้แจงว่า ขณะนั้นหยกกำลังเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อชั้น ม.4 จึงได้ทำหนังสือขอเลื่อนเป็นวันที่ 9 เมษายน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับทราบและรับหนังสือเรียบร้อยแล้ว
4.
อย่างไรก็ดี วันที่ 28 มีนาคม 2566 หยกถูก สน.พระราชวัง ควบคุมตัว หลังติดตามการจับกุม ‘บังเอิญ’ ศิลปินวัย 25 ปี ผู้พ่นสเปรย์กำแพงวัดพระแก้ว โดยต่อมาภายหลัง ตำรวจได้แจ้งว่า หยกมีหมายจับคดี ม.112 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ออกโดยศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ก่อนจะควบคุมไปยัง สน.สำราญราษฎร์
ในการควบคุมตัววันนั้น จากรายงานของประชาไท หยกเปิดเผยในภายหลังว่า ถูกคุกคามทางเพศจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ชายหลายคนได้นั่งทับตัวเธอ ล้วงจับขา ล้วงหน้าอก และพยายามยึด iPad ที่เธอเหน็บไว้ในเสื้อด้านในออก
5.
วันที่ 29 มีนาคม 2566 เธอถูกนำมาไต่สวนที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งศาลได้ออกหมายควบคุมตัว เป็นเหตุให้หยกถูกส่งไปที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี จ.นครปฐม
ในระหว่างไต่สวน หยกได้แสดงจุดยืนปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม ด้วยการไม่เซ็นเอกสาร ไม่ขอยื่นประกันตัว และหันหลังให้บัลลังก์ผู้พิพากษา การปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมซึ่งเธอมองว่าไม่ชอบธรรมนั้น จะเป็นจุดยืนที่เธอยืนยันตลอดระหว่างการถูกคุมขัง
6.
***TW: ความรุนแรง, ขู่ฆ่า***
ขณะที่การคุกคามยังดำเนินต่อไป อานนท์ กลิ่นแก้ว ได้กล่าวผ่านไลฟ์บนบัญชีเฟซบุ๊กของตน วันที่ 10 เมษายน 2566 เป็นการคุกคามและขู่ฆ่าหยก โดยบอกว่า
“มึงอย่าหวังว่ากูจะหยุด กูไม่หยุด ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น จะแจ้งต่อ แจ้งมาตรา 112 ต่อ อีหยก สหายนอนน้อย ถ้าสมมติว่ามันเป็นคนๆ เดียวกัน ตายอย่างเขียดคอยดู มันไม่ใช่เด็ก เด็กเลว ไม่รู้จะเลวยังไง”
อานนท์ยังขู่อีกว่า ถ้ายังไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม “กูจะฆ่ามึงไอ้เหี้ย มึงก็อย่าไปแจ้งความสิ กูกระทืบมึงอย่าไปแจ้งความดิอีเหี้ย เลวจริงๆ”
7.
จนกระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางถึงจะสั่งปล่อยตัวหยกออกจากสถานพินิจ บ้านปรานี รวมเวลาที่ถูกคุมขังนาน 51 วัน เธอได้รับการปล่อยตัวในช่วงเย็นวันเดียวกัน
แต่ปรากฏว่า เมื่อออกมาแล้ว พบว่าทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยผดผื่น โดยเฉพาะบริเวณหลังที่มีผื่นขึ้นเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าเป็นเพราะน้ำในบ้านปรานีไม่สะอาด อากาศร้อน หรือยุงกัด แต่ต่อมา เพจ ‘ทะลุวัง – ThaluWang’ ชี้ว่า เป็นเพราะบ้านปรานีให้ใช้ยาที่ชื่อ ‘คีล่า ครีม’ ซึ่งมีสเตียรอยด์ นานเกิน 2 สัปดาห์ จนกดภูมิคุ้มกัน
8.
เมื่อออกมาแล้ว เธอจึงกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานอ้างอิงเอกสารการมอบตัว ระบุว่า มีการเซ็นมอบตัวในฐานะนักเรียน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และมี ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ลงนามในฐานะผู้ปกครอง
ต่อมาเธอเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในโรงเรียน ด้วยการย้อมสีผม ทำทรงผมที่สะดวก และใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน ซึ่งเธอชี้ว่า “เราคิดว่าการแต่งกายและทรงผมมันไม่ใช่ตัวชี้วัดผลการเรียนของเรา สิ่งที่เป็นปัญหาคือโครงสร้างของการศึกษาไทยมากกว่า
“เราอยากให้มีเสรีทรงผมและการแต่งกายภายในโรงเรียนทุกโรงเรียน ไม่ใช่แค่โรงเรียนเอกชน เหตุใดเราจึงต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อแลกกับอิสรภาพและสิทธิพื้นฐานในเนื้อตัวร่างกายของเราที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด”
9.
วันที่ 13 มิถุนายน 2566 หยกโพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว แจ้งว่า “โรงเรียนบอกว่าไล่เราออกแล้ว บอกว่าให้เราจำไว้ว่าต่อไปนี้เราคือบุคคลภายนอก”
ต่อมา ในวันที่ 14 มิถุนายน เธอจึงเริ่มปีนรั้วโรงเรียน เพราะยืนยันสิทธิที่จะได้รับการศึกษา หลังจากเจรจาอยู่หลายชั่วโมงที่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียน หลังจากนั้น หยกก็ปีนรั้วอีกครั้ง รวมถึงปีนหน้าต่าง ในช่วงวันที่ 15-16 มิถุนายน
10.
ทางด้านโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับ ฉบับแรกในวันที่ 14 มิถุนายน 2566 และฉบับที่ 2 วันที่ 17 มิถุนายน ชี้แจงถึงสถานะความเป็นนักเรียนของหยก
ฉบับที่ 1 ระบุว่า โรงเรียนอนุญาตให้หยกเข้าเรียนก่อน แต่ต้องนำผู้ปกครอง (มารดา) มามอบตัวให้สมบูรณ์ในวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งจะต้องยืนยันข้อมูลจำนวนนักเรียนในระบบของกระทรวงศึกษาธิการ แต่หยกไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว จึงไม่มีฐานข้อมูลในระบบ และไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียน ในปีการศึกษา 2566
ขณะที่ฉบับที่ 2 ยืนยันในความเดิมว่า หยกไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขการมอบตัว จึงไม่มีฐานข้อมูลนักเรียนในระบบตั้งแต่ต้น และไม่มีสภาพการเป็นนักเรียน
ฉบับที่ 2 มีระบุเพิ่มเติมด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อความไม่ปลอดภัยของนักเรียน ครู บุคลากร ผู้ปกครอง รวมถึงอาคารและทรัพย์สิน จึงต้องดำเนินการตามมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องคำนิยามของ ‘ผู้ปกครอง’ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงวันนี้ (18 มิถุนายน)
11.
ขณะเดียวกัน กลุ่มปกป้องสถาบันฯ ก็เพิ่งมีความเคลื่อนไหวที่ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามและเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับหยกเพิ่มเติม
ในวันที่ 17 มิถุนายน นพดล พรหมภาสิต แกนนำศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) ซึ่งเป็นเครือข่ายของ ศปปส. ได้โพสต์ภาพในเชิงคุกคาม ระบุว่า “นี่คือสภาพบ้านของหยก” พร้อมกับโชว์ข้อมูลของสถานที่ดังกล่าวบน Google Maps
ก่อนหน้านั้น 1 วัน วันที่ 16 มิถุนายน 2556 กลุ่ม ศปปส. นำโดย อานนท์ กลิ่นแก้ว ประธาน ศปปส. และ นพคุณ ทองถิ่น รองประธาน ศปปส. ได้เข้ายื่นหนังสือที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโลยี (บก.ปอท.)
โดยขอให้เร่งรัดดำเนินคดี ม.112 จำนวน 6 คดี กับหยก เนื่องจากเคยแจ้งความไป 6-7 เดือนที่แล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า
กรณีของหยกยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีข้อสรุป จุดชนวนให้สังคมเดินหน้าถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ในขณะเดียวกับที่เยาวชนคนหนึ่งกำลังจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
อ้างอิงจาก
prachatai.com (1) (2) (3) (4) (5)