‘รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นโต้แย้งในที่ประชุมร่วมรัฐสภา วันนี้ (19 กรกฎาคม) ต่อข้อเสนอที่อ้างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ 41 ที่ว่า “ญัตติใดซึ่งตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติขึ้นเสนอซ้ำ” โดยอ้างว่าการเสนอชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เพื่อลงมติเห็นชอบในวันนี้ จัดเป็น ‘ญัตติ’ ตามข้อบังคับดังกล่าว
“ผมไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดกับข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งเป็นการตีความข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” รังสิมันต์อภิปราย ซึ่งเขามองว่า “จะก่อให้เกิดปัญหากระทบต่อสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญในส่วนที่ว่าด้วยการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พวกท่านเพียงแค่ไม่ต้องการให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ก็ถึงขนาดทำลายหลักการทุกหลักการที่มีในรัฐธรรมนูญลงเสีย เผาบ้านเพื่อไล่หนู”
รังสิมันต์แจกแจงเหตุผล 4 ข้อ โต้แย้งการตีความข้อบังคับในลักษณะดังกล่าว
1. กระบวนการ ‘การเสนอชื่อบุคคล’ หรือ ‘candidacy proposal’ กับ ‘ญัตติ’ หรือ ‘motion’ มีความหมายคนละเรื่อง ไม่อาจนำมาปนกันได้ การเสนอชื่อบุคคลมีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยทั่วไป หากเป็นกรณีที่มีความมุ่งหมายไม่ให้มีการเสนอบุคคลซ้ำ จะต้องมีการบัญญัติกฎหมายเอาไว้อย่างชัดเจน เช่น การสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.
“เป็น ส.ส.กันมากี่สมัยแล้ว ขอโทษเถอะฮะ กฎหมายสูงสุดท่านไม่เข้าใจหรืออย่างไร?” รังสิมันต์ตั้งคำถามต่อการตีความข้อบังคับฯ ข้อ 41 ในลักษณะที่ได้รับการเสนอมา
2. ไม่มีกฎหมายใดที่จะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญได้ ตามหลักการความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ “สำนึกกันบ้าง ที่มาอยู่กันตรงนี้ เพราะเรามีรัฐธรรมนูญ” รังสิมันต์ระบุ เขาชี้ว่า ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ไม่มีตรงไหนเลยที่ระบุว่า ถ้าลงมติไม่ผ่านห้ามเสนอซ้ำอีก
3. ในทำนองเดียวกัน รังสิมันต์อภิปรายว่า ไม่มีตรงไหนในรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า เมื่อมีการเสนอชื่อแคนดิเดตเพื่อลงมติ และได้รับคะแนนเสียงไม่มากพอที่จะผ่านเกณฑ์ แล้วเขาจะต้องสูญเสียสถานะของการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 “คำตอบ มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย” การลงมติในรอบถัดไปถือว่าเป็นไปได้
4. ถ้าพิจารณารัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรค 2 เรื่องการปลดล็อกให้เลือกนายกฯ คนนอก มาตราและวรรคดังกล่าวระบุไว้ด้วยว่า หลังจากการปลดล็อก ก็ยังสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตตามรายชื่อของพรรคการเมืองได้อีก นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ในรัฐธรรมนูญเอง ก็ยังรับรองการเสนอชื่อแคนดิดเดตซ้ำได้ โดยไม่สนใจว่าบุคคลดังกล่าวจะเคยได้รับหรือไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภามาก่อนหรือไม่
รังสิมันต์ยังอภิปรายเพิ่มเติมด้วยว่า “การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีแค่มิติของกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น แต่ที่สำคัญ มันคือกระบวนการประชาธิปไตย เพราะในการเมืองระบบรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือกลไกสำคัญในการถือเอาเสียงของประชาชนที่ได้เปล่งออกมาผ่านการเลือกตั้ง นำไปจัดตั้งรัฐบาลที่สอดคล้องกับเจตจำนงของประชาชนให้ได้อย่างดีที่สุด
“การลงมติเลือกนายกฯ จึงควรเป็นพื้นที่แห่งโอกาสที่ให้สภาผู้แทนราษฎรได้เลือก ได้ลอง ได้พยายามหาทาง ในการตอบสนองต่อเจตจำนงของประชาชนที่เขาไปใช้สิทธิใช้เสียง นี่ไม่ใช่พื้นที่ของการมาสรรหาโวหารใดๆ เพื่อทำลายเสียงประชาชย เพื่อตัดสิทธิคนที่เป็นความหวังของพี่น้องประชาชน พื้นที่แห่งนี้ควรจะเป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่เราจะออกจากการเมืองที่เกิดขึ้น ย่ำอยู่กับที่ ผ่านการรัฐประหาร ตั้งแต่ปี 2557”
เขาเตือนว่า เวลาคิดถึงประเด็นการตีความข้อบังคับ อย่าคิดแต่เรื่องเฉพาะหน้า แต่ควรมองให้เห็นภาพกว้างและกรณีอื่นๆ ในอนาคตข้างหน้า “พึงระลึกว่าบรรทัดฐานที่แปลกประหลาดที่พวกท่านได้ร่วมสร้างในวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้า มันจะกลับมาสร้างความยากลำบาก ให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพวกท่านเอง หรือแม้แต่การเสนอบุคคลอื่นๆ ในกรณีอื่นๆ ที่จะสร้างความยุ่งยากและเสียหายให้กับสถาบันต่างๆ ของบ้านเมือง”
รังสิมันต์ทิ้งคำถามส่งท้าย “พวกท่านทั้งหลาย พวกท่านหวาดกลัวยุคสมัยใหม่ขนาดนั้นเลยหรือครับ”