วงการวิทยาศาสตร์ไม่หยุดที่จะเซอร์ไพรส์เราจริงๆ เมื่อนักฟิสิกส์ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาอาจจะพบกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อนหรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ‘แรงพื้นฐานชนิดที่ 5’ ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของอนุภาคอะตอมแบบใหม่
บอกก่อนว่า ในปัจจุบันมนุษย์เรารู้จักแรงพื้นฐานในธรรมชาติ (fundamental interactions in nature) เพียง 4 แรงเท่านั้น ได้แก่ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มและอ่อน
“ขณะนี้เรากำลังพูดถึงแรงพื้นฐานชนิดที่ 5 เพราะเราไม่สามารถอธิบายมันด้วยแรงทั้ง 4 ที่เรารู้จักได้” มิเทช พาเทล (Mitesh Patel) อาจารย์จากอิมพิเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London) กล่าว
โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากการทดลองที่แฟร์มีแล็บ (Fermilab) ห้องปฏิบัติการเครื่องเร่งอนุภาคแห่งสหรัฐฯ ที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามทำความเข้าใจว่าอนุภาคของอะตอมที่เรียกว่ามิวออน (muons) ซึ่งคล้ายกับอิเล็กตรอนแต่หนักกว่าประมาณ 200 เท่าสามารถเคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็กได้อย่างไร
พาเทลระบุเสริมว่า มิวออนมีพฤติกรรมคล้ายลูกข่างของเล่นของเด็กๆ โดยมันจะหมุนรอบแกนของสนามแม่เหล็ก อย่างไรก็ตาม เมื่อมิวออนเคลื่อนไหวพวกมันจะโยกเยก ซึ่งความถี่ของการโยกเยกนั้นสามารถคาดเดาได้ด้วยแบบจำลองมาตรฐาน ทว่าแบบจำลองกลับไม่ได้อธิบายถึงแรงพื้นฐาน แรงโน้มถ่วง หรือสสารมืดอื่นๆ ที่เราเคยรู้จักมาก่อน ทำให้มันถูกระบุว่าเป็นแรงพื้นฐานชนิดใหม่ที่ลึกลับไปโดยปริยาย ซึ่งคาดว่ามีสัดส่วนประมาณ 27% ของเอกภพ
เช่นเดียวกับที่จอน บัตเตอร์เวิร์ธ (Jon Butterworth) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (University College London) ก็ระบุว่า “ถ้าการวัดผลไม่สอดคล้องกับแบบจำลองพื้นฐาน นั่นถือเป็นสัญญาณว่ามีอนุภาคที่เราไม่รู้จักเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นแรงพื้นฐานชนิดที่ 5”
หรือจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือตอนนี้พวกเขาพบว่ามิวออนไม่แสดงปฏิกิริยาตามทฤษฎีฟิสิกส์ของอะตอมอย่างที่มันควรจะเป็น ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจมีแรงพื้นฐานที่มนุษย์ไม่รู้จักเกิดขึ้นกับมิวออน อย่างไรก็ตาม พวกเขาจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนเพื่อยืนยันผลลัพธ์ ซึ่งหากได้รับการยืนยันแล้ว การค้นพบดังกล่าวจะเป็นการปฏิวัติวงการฟิสิกส์โดยทันที
“มันเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป ทำให้พวกเราเรียกมันว่าแรงพื้นฐานชนิดที่ 5 ..ที่อาจจะช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาลได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี นับตั้งแต่ทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)”
อ้างอิงจาก