โคลอมเบียอาจเป็นประเทศที่ดูห่างไกลในความรู้สึกของคนไทย แต่เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ ‘กลุ่มกบฏฟาร์ก’ (=กองกำลังปฏิวัติติดอาวุธโคลอมเบีย หรือ FARC) ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับรัฐบาลอย่างดุเดือดมากว่า 50 ปีเต็มๆ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน ทว่าด้วยวิสัยทัศน์ของ ปธน.โคลอมเบีย ฮวน มานูเอล ซานโตส ที่เปิดเวทีพูดคุยกับแกนนำกลุ่มกบฏ จนท้ายที่สุดยอมวางอาวุธ แลกกับโควตาที่นั่งในรัฐสภา เพื่อเปลี่ยนกองกำลังติดอาวุธให้กลายเป็นพรรคการเมือง
ผลการเจรจาและทำข้อตกลงในปี 2016 ไม่เพียงทำให้กลุ่มกบฏ FARC ทั้งหมดยอมวางอาวุธ ยังทำให้ซานโตสได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ และในวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันฉลองการประกาศอิสรภาพของโคลอมเบีย ก็มีอีกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เกิดขึ้น เมื่ออดีตสมาชิกกลุ่มกบฏ FARC ได้เข้ามานั่งทำงานในรัฐสภาเป็นครั้งแรก – เป็น ส.ว. 5 คน และ ส.ส.อีก 5 คน
แต่เส้นทางสู่สันติภาพยังเพิ่งเริ่มต้นและเปราะบางอย่างยิ่ง เพราะในอีกไม่กี่วัน ปธน.ซานโตสก็จะพ้นจากตำแหน่ง ให้อิวาน ดูเก้ ขึ้นมาเป็นผู้นำโคลอมเบียแทน เขาจึงได้ฝากฝังให้ทุกๆ คนช่วยกันประคับประคองสิ่งนี้ “เพราะมันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่ชาติเราเคยมี” (Because it is the most precious good that any nation can have.)
ปัจจุบัน อดีตกลุ่มกบฏ FARC ที่เกิดจากการลุกฮือของชาวนา เมื่อปี 1964 ได้แปลงกายเป็นพรรคที่ชื่อ ‘กองกำลังปฏิวัติทางเลือกแห่งโคลอมเบีย’ โดยจะได้สมาชิกรัฐสภาอัตโนมัติ 10 เก้าอี้ ไปจนถึงปี 2026 หลังจากนั้นต้องหาเสียงเพื่อชิงเก้าอี้เอาเอง
โมเดลของโคลอมเบียทำให้หลายๆ ชาติตระหนักว่า บางทีความขัดแย้งภายในชาติ ไม่อาจยุติได้ด้วยการทหาร แต่เป็นการเมืองต่างหาก
.
อ้างอิงจาก
https://edition.cnn.com/2018/07/21/americas/farc-members-join-colombias-congress/index.html
https://edition.cnn.com/2016/08/24/americas/farc-colombia-final-peace-deal/index.html
https://www.thairath.co.th/content/1039369
ที่มาภาพประกอบ
https://www.economist.com/the-americas/2017/05/18/deadline-pressure-for-colombias-peace-agreement
#Brief #TheMATTER