กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF เปิดเผยรายงานฉบับใหม่เมื่อวันพุธที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 1970 – 2016 ประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกกว่า 4,392 สปีชีส์ ลดลงอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยละ 68 หรือเป็นระดับที่นักวิจัยเรียกว่าลดลง ‘อย่างไม่เคยพบเห็นในรอบหลายล้านปี’ โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ภูมิภาคละตินอเมริกา และแคริบเบียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พื้นที่อาศัยของสัตว์ถูกทำลายลงกว่าร้อยละ 94
รายงานชี้ว่า นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ พื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งหายไปกว่าร้อยละ 85 และสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ อาทิ ปลา, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หายไปทุกปีราวร้อยละ 4
WWF ชี้ว่าตัวการที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นมนุษย์ เพราะการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การบริโภค ตลอดจนการขยายตัวของเมือง ทำให้เกิดการเปลี่ยนพื้นที่ธรรมชาติ ให้กลายป็นพื้นที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ซึ่งทำลายพื้นที่ป่าทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ใช้น้ำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 และทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นถึงร้อยละ 29
ขณะที่ปัจจุบัน ในทุกปี ทั่วโลกมีอาหารถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะมากถึง หนึ่งในสาม ของทั้งหมด หรือประมาณ 1.4 พันล้านตัน ขณะที่ในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวอาหารที่ถูกทิ้งคิดเป็นมูลค่า มากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นเป็นผลกระทบทางธรรมชาติถึงปีละ 700 พันล้านดอลลาร์
รายงานฉบับดังกล่าวเรียกสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ‘ประนีประนอมไม่ได้’ สำหรับมนุษยชาติ และมนุษย์ควรต้องปรับเริ่มตระหนักถึงต้นตอปัญหา และปรับเปลี่ยนวิธีการกิน และสร้างสมดุลระหว่างการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์และพืชให้มากขึ้น
กลุ่มนักวิจัยเรียกร้องให้เหล่าผู้นำผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นวาระประชุม ในการสหประชาชาติ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 กันยายนที่จะถึง
รีเบคกา ชอร์ หัวหน้านักวิจัยของ WWF กล่าวว่า “คนรุ่นใหม่ตระหนักอย่างดีถึงความเชื่อมโยงระหว่างโลกที่อุดมสมบูรณ์และอนาคตของพวกเขา พวกเขาจึงเรียกร้องอย่างแรงกล้าให้เหล่าผู้นำหันมาให้ความสนใจ ดังนั้น พวกเราควรยืนข้างพวกเขา ในการต่อสู้เพื่อนำไปสู่โลกที่ยั่งยืน”
อ้างอิง:
https://edition.cnn.com/2020/09/09/world/wwf-report-species-decline-climate-scn-intl-scli/index.html
https://www.cbsnews.com/news/biodiversity-endangered-species-animal-population-decline-world-wildlife-fund-report-2020-09-09/
#Brief #TheMATTER