เวลาที่เราจะบอกว่าเราเป็นใคร อาชีพมักเป็นสิ่งที่เราใช้นิยามตัวเอง เราเป็นหมอ พยาบาล ทหาร ครู ซึ่งในอาชีพทั้งหลายก็จะบอกเป็นนัยๆ ว่าคนคนนั้นเป็นคนยังไง ถ้าเป็นครูเราก็จะคิดว่าคนคนนี้น่าจะเป็นคนที่ชอบสอน อาจจะเข้มงวดหน่อยๆ ไม่ก็น่าจะใจดีนิดๆ ถ้าเป็นตำรวจก็น่าจะเป็นคนขึงขัง มีระเบียบ รักความถูกต้อง ถ้าเป็นอาชีพสมัยใหม่แบบโปรแกรมเมอร์ เราก็จะรู้สึกว่าคนคนนี้น่าจะเป็นคนมีเหตุผล มองโลกเป็นระบบ หรือถ้าเป็นศิลปินเราก็จะนึกถึงคนที่มีอิสระ มีความคิดสร้างสรรค์
ล่าสุดมีงานศึกษาที่พบว่า ‘อาชีพ’ ส่งผลกับ ‘การทำงานของสมอง’ คนประกอบอาชีพเชิงสร้างสรรค์อย่างสถาปนิก ช่างปั้นและศิลปิน ด้วยเนื้องานที่ต่างกันทำให้คนจากสามแขนงอาชีพนี้มีวิธีการรับรู้โลกในระดับที่แตกต่างกัน
ในระดับร่างกาย ลองนึกถึงถ้าเราเล่นกีฬาหรือดนตรีบางประเภท ร่องรอยการใช้ร่างกายในกิจกรรมต่างๆ ก็จะปรากฏอยู่บนร่างกายของเรา
‘มือ’ เป็นอวัยวะหนึ่งใช้บ่งบอกถึงอาชีพต่างๆ ได้ มีงานศึกษาที่ลงไปสำรวจมือของผู้คนในกลุ่มช่าง อาชีพที่ใช้มือในการทำงาน งานศึกษานั้นบอกว่า ถึงมือเราจะดูเหมือนๆ กัน แต่ด้วยอาชีพแล้วทำให้คนในแต่ละสายอาชีพมีรายละเอียดของมือที่สัมพันธ์กับอาชีพที่ตัวเองทำ การทำงานและใช้มือในรายละเอียดที่ต่างกันของช่างประเภทต่างๆ เช่น ช่างเหล็ก ช่างเรียงพิมพ์ ไปจนช่างตัดเย็บ ทำให้คนในแต่ละอาชีพมีรายละเอียด รูปร่างและร่องรอยของอาชีพบนฝ่ามือและผิวเนื้อ รอยด้าน ขนาดของนิ้ว ความใหญ่เล็กของข้อต่อตลอดจนความหยาบในลักษณะที่แตกต่างกัน
อาชีพงานช่างที่ต้องใช้แรงงานมากอย่างช่างเหล็ก ทำให้มือที่ต้องรับมือกับงานหนักๆ มีลักษณะใหญ่ หนา หยาบ และเทอะทะ นิ้วต่างๆ จะค่อนข้างสั้น หนาและแข็งกระด้าง ในขณะที่ช่างเรียงพิมพ์ที่ไม่ต้องใช้แรงงานหนักมากจะมีนิ้วที่เรียวยาวและมีลักษณะไม่ต่างกับคนทั่วๆ ไป ส่วนที่พิเศษคือพบว่าอาชีพเรียงพิมพ์นั้นต้องใช้ปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้ในการสอดตัวพิมพ์เข้าไปจึงพบการฝ่อของเนื้อเยื่อและกระดูกที่ปลายนิ้วทั้งสอง
แปลว่าในระดับกายภาพ การใช้ร่างกายซ้ำๆ ในการทำงานย่อมส่งผลกับร่ายกายของเราให้แปรเปลี่ยนไปตามลักษณะการใช้งานนั้นๆ ในทำนองเดียวกัน นักวิจัยทางจิตวิทยาและภาษาเองก็ตั้งคำถามแบบเดียวกันว่า อาชีพโดยเฉพาะอาชีพที่ต้องทำงานกับ ‘พื้นที่’ ในลักษณะที่ต่างกันเช่นสถาปินและศิลปิน สุดท้ายแล้วอาชีพที่เราทำมันส่งผลกับวิธีคิด วิธีการรับรู้โลกไหม- คำตอบคือ ใช่
งานศึกษาดังกล่าวตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ Cognitive Science งานศึกษาดังกล่าวเอาคนจากสายอาชีพที่ต้องทำงานเชิงสร้างสรรค์กับพื้นที่ คือ ศิลปิน สถาปนิก และนักปั้น – ซึ่งสามอาชีพนี้ต้องทำงานกับตัวพื้นที่จริงๆ ในลักษณะที่ต่างกัน และเอาคนทำงานทั่วๆ ไป แล้วให้มานั่งดูภาพ 3 ภาพที่เป็นพื้นที่ในลักษณะต่างกัน เช่น ภาพถนนจากกูเกิลสตรีทวิว ภาพเขียนจากในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์กราฟิก แล้วให้ผู้ทดลองพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘พื้นที่’ (space) จากรูปทั้งสาม
นักวิจัยพบว่าคนที่มาจากแต่ละสายอาชีพมีวิธีการพูดถึงพื้นที่แตกต่างกัน ความแตกต่างในการพูดถึงพื้นที่สอดคล้องกับลักษณะงานของแต่ละอาชีพ ศิลปินหรือนักวาดภาพมีแนวโน้มที่จะคิดสลับไปมาระหว่างการมองแบบสองมิติและสามมิติ ในขณะที่สถาปนิกมองพื้นที่ในลักษณะที่สัมพันธ์กับขอบเขต (boundaries) ของพื้นที่นั้นๆ ส่วนช่างปั้นเนื่องจากทำงานเชิงวัตถุภายในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็มีแนวโน้มที่จะมีมุมมองที่ผสมทั้งแบบที่นักวาดและสถาปนิกมี ในขณะที่คนที่ไม่ได้อยู่ในสายอาชีพที่ต้องทำงานกับพื้นที่โดยตรงมีแนวโน้มที่จะนึกถึงพื้นที่ในลักษณะนามธรรมมากกว่า
นักวิจัยสรุปว่า ไม่ใช่คนจากต่างสายอาชีพพูดถึงตัว ‘พื้นที่’ ในลักษณะที่ต่างกันเท่านั้น เรายังมีแนวโน้มที่จะ ‘คิด’ ถึงพื้นที่ในลักษณะที่เหมือนกันด้วย- งงๆ และซับซ้อนนิดหนึ่ง คืออาชีพที่ต้องทำงานกับพื้นที่ในลักษณะต่างกันอย่างศิลปินต้องจัดการกับพื้นที่ด้วยงานวาดก็มีแนวโน้มที่จะคิดต่างเป็นสองมิติและสามมิติสลับกันกับสถาปนิก ที่พอพูดถึงพื้นที่ก็จะคิดถึงขอบเขตของมันว่าจะวางแบบเพื่อจัดการยังไง – นักวิจัยเลยสรุปว่า นี่ไง เห็นมั้ย ด้วยลักษณะการทำงานมันมีผลกับวิธีการรับรู้ มอง และคิดกับโลกต่างกัน อาชีพจึงมีผลกับวิธีการทำงานของสมองของเราขนาดนี้เลยนะ
งานวิจัยไม่ได้สรุปว่า ตกลงแล้วคนเรามีวิธีการมองโลกที่ต่างกันแล้วค่อยเข้าไปทำงานในสายอาชีพที่สอดคล้องกับวิธีการมองโลกของเรา หรือตัวอาชีพการงานของเรา ลักษณะงานที่ทำซ้ำๆ ส่งผลให้สมองของเราปรับเปลี่ยนไปตามเนื้องานที่ทำ
แต่สิ่งที่เราเห็นคือความความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราทำ และความซับซ้อนระหว่างตัวตน สมอง วิธีคิด วิธีการมองโลกของเรา มันช่างสัมพันธ์กับอะไรหลายอย่างรอบตัวมากกว่าที่เราคิด
ที่มา