ในความสัมพันธ์เราเป็นคนคอยคุมจังหวะหรือปล่อยใจไปตามจังหวะเพลง?
ใครบางคนอาจเปรียบเปรยว่า ความสัมพันธ์เหมือนกับการเต้นรำ ที่เราต้องขยับไปตามจังหวะเพลง แต่ละย่างก้าวสอดประสานราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน อุปมาอุปไมยนี้ไม่ได้เป็นคำพูดลอยๆ แต่ใน 10 dance ภาพยนตร์จาก Netflix ก็ทำให้เห็นแล้วว่าลีลาการเคลื่อนไหวสุดบนฟลอร์ก็ขยับไปตามจังหวะความสัมพันธ์เช่นกัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก 10 dance คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกัน ว่าด้วยเรื่องของ ‘ชินยะ ซูซุกิ’ แชมป์การเต้นสายลาตินระดับประเทศ และ ‘ชินยะ ซูงิกิ’ นักเต้นบอลรูมระดับโลก ทั้งคู่แสดงออกว่าเกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แรกเห็น แต่โชคชะตาก็นำพาให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะประชันกันใน ‘10 dance’ เวทีการเต้นรำสุดยิ่งใหญ่ที่ให้เปิดโอกาสให้เหล่านักเต้นทุกสายได้มาเจอกัน

ถ้าถามว่าเวทีนี้สำคัญแค่ไหน อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ เวทีนี้ก็เหมือนกับฟุตบอลโลกแห่งวงการเต้นรำ โดยนักเต้นจากทั่วสารทิศจะมาประลองกันแบบข้ามสาย ทั้งบอลรูมและลาตินบนเวทีนี้ ด้วยเสต็ปและจังหวะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ต้องใช้ทั้งพลังกายและพลังใจถึงขีดสุด หากใครทำได้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นคือสุดยอดนักเต้นที่แท้จริง
แต่นอกจากแพสชั่นและความเร่าร้อนจากนักเต้นสุดฮอตในเรื่องนี้แล้ว วันนี้เราขอพาไปสำรวจความสัมพันธ์และบาดแผลของแต่ละฝ่ายที่ฉุดรั้งตัวเองไว้จากหนังเรื่องนี้กัน
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของ 10 Dance*
ความสัมพันธ์ที่ต่างกันสุดขั้ว
ตั้งแต่ต้นเรื่องที่หนังพาเราไปสำรวจเรื่องราวของสุดยอดนักเต้นที่แม้จะนามสกุลออกเสียงเหมือนกัน แต่นิสัยกลับต่างกันสุดขั้ว อย่าง ชินยะ ซูซุกิ (รับบทโดย ทาเคอุจิ เรียวมะ (Takeuchi Ryoma)) นักเต้นบอลรูมสายลาติน ดีกรีแชมป์ระดับประเทศ ที่ไม่เคยก้าวไปสู่ระดับโลก และ ชินยะ ซูงิกิ (รับบทโดย มาจิดะ เคตะ (Machida Keita)) นักเต้นบอลรูมสายสแตนดาร์ด ระดับโลก ผู้ไม่เคยคว้าชัยที่ 1 มาได้
ในความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นคู่แข่งกันโดยตรง เพราะปกติการเต้นทั้ง 2 สายนี้มักจัดการแข่งขันแยกกัน แต่แล้ววันหนึ่งซูงิกิก็ได้ท้าทายให้ซูซุกิมาประลองกันในเวที 10 dance การแข่งขันที่เปิดโอกาสให้นักเต้นข้ามสายมาเจอกัน เพื่อลบคำสบประมาท ซูซุกิจึงตอบตกลง และได้มาเป็นคนสอนการเต้นแต่ละสไตล์ให้กันและกัน จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทำให้พวกเขาได้เห็นโลกของอีกฝ่ายมากขึ้นทีละน้อย
ซูซุกิคือนักเต้นที่มีความร้อนแรง ลวดลายบนฟลอร์ไม่ต่างไปจากชีวิตในยามปกติ เขาเติบโตที่ใต้ท้องฟ้าและชายหาดในคิวบา ประเทศแห่งการปฏิวัติและความรักอันเร่าร้อน หล่อหลอมให้เขาหลงใหลกับความสุขตรงหน้ามากกว่าจะกังวลถึงอนาคตให้วุ่นวาย
เราจะเห็นได้จากที่เขามักสนุกกับปาร์ตี้สุดเหวี่ยง จบลงกับใครสักคนบนเตียงในตอนเช้า ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งรอบข้าง ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ดึงดูดใจซูซุกิมากพอ จนเขากลายเป็นการเป็นปลาใหญ่ในสระเล็กอยู่หลายปี

ขณะที่การได้เห็นคนเก่งๆ พอใจอยู่แค่ในประเทศเล็กๆ ดันไปขัดหูขัดตา ชินยะ ซูงิกิ นักเต้นบอลรูมสายสแตนดาร์ด เพราะเขาคืออีกด้านที่แตกต่างจากซูซุกิทุกระเบียดนิ้ว ซูงิกิ เติบโตมากับมาร์ธา นักพัฒนาการเต้นรำระดับโลกซึ่งรับเขามาฝึกฝนเพื่อเป็นนักเต้นชั้นยอด
ซูงิกิปรารถนาจะได้เป็นนักเต้นสายบอลรูมที่สมบูรณ์แบบ ที่ผ่านมาเขาจึงฝึกซ้อมอย่างหนัก ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างหมดจด เพื่อให้สามารถก้าวไปตามจังหวะอย่างแม่นยำ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ยังมีบางอย่างที่เขายังขาดไปอยู่เสมอ
การเต้นจึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวตนของทั้งคู่ ซูซุกิใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย ไม่ต่างไปจากการเต้นลาตินที่มีลีลาเร้าใจ โยกย้ายสะโพกอย่างเร่าร้อน จนบางครั้งอาจลืมนึกถึงคู่เต้นของตัวเอง ขณะที่ซูงิกิเคลื่อนไหวกับไปตามจังหวะวอลซ์อันนุ่มนวล แต่ก็แฝงไปด้วยการควบคุมคู่เต้นอย่างเข้มงวด ภายใต้ท่วงท่าอันสง่างาม
“นักเต้นคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า บางครั้งความรักก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปแบบที่เราไม่คาดฝัน แล้วก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้ากระทันหัน ทำให้ความในใจ ความเร่าร้อนที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด งดงามและสง่าขึ้น บางครั้งก็ดุดัน แฝงด้วยการรุกรัดที่มีชั้นเชิง”
คำพูดของซูงิกิก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเต้นรำก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ เพราะคนสองคนต้องเห็นพ้องต้องกัน จึงจะขยับก้าวให้สอดคล้องกัน เพื่อทั้งสองฝ่ายจึงจะรู้สึกสนุกไปกับจังหวะเพลงได้
แต่จังหวะที่เร่งเร้า เอาแต่ใจตัวเองของซูซุกิ และการบังคับให้อีกฝ่ายก้าวตามจังหวะของตัวเอง ของซูงิกิ จึงทำให้พวกเขาทั้งคู่ขัดแย้งกันบ่อยๆ ขณะเดียวกันก็ถูกดึงดูดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว อย่างฉากรถไฟ ที่ทั้งคู่เปิดเปลือยความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจน
บาดแผลที่ฉุดรั้งไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า
“การเต้นมันไม่ใช่การแข่งขันด้วยเทคนิคหรือพลังกาย
ความรักต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้มันสมบูรณ์”
หนังไม่เพียงแต่พาเราไปรู้จักตัวตนของทั้งคู่ผ่านการเต้นรำเท่านั้น แต่ยังค่อยๆ เผยให้เห็นบาดแผล และความเปราะบางของทั้งคู่ไปทีละน้อย
แม้ดูเผินๆ ซูซุกิจะพอใจกับการเป็นที่ 1 ระดับประเทศ แต่เพราะความกลัวที่จะสูญเสียตัวเอง ที่ต้องปรับให้เข้ากับการตัดสินของกรรมการที่เข้มงวดในระดับโลก ก็อาจทำให้เขาไม่สามารถก้าวออกจากจุดเดิมที่ตัวเองอยู่
เช่นเดียวกับการเต้นกับ ‘อากิ’ คู่ของเขาก็เช่นกัน การหลีดของซูซุกิ มักเต็มไปด้วยพลัง จนเผลอทำให้อากิตามจังหวะของเขาไม่ทัน และแม้การแสดงของเขาจะยอดเยี่ยม และสามารถปลุกเร้าอารมณ์ของผู้คนทั้งฮอลล์ได้มากเพียงใด ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบได้เลย หากเขาไม่รู้จักควบคุมพลังของตัวเอง

ในขณะที่ซูงิกิ ที่แม้จะก้าวไปตามจังหวะได้อย่างไร้ที่ติ แต่การแสดงของเขากลับไม่สามารถส่งเข้าไปถึงหัวใจของผู้ชมได้ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเผยความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย และมักปิดกั้นตัวเองจากความอ่อนแอ หรือความไม่สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ รู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นคนที่ควบคุมคนอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งคู่ของตัวเอง อย่าง ‘ฟุซาโกะ’ ที่ต้องคอยขยับตามจังหวะของเขาอย่างเชื่อฟัง
ทั้งการปล่อยไปตามใจตัวเองและการปิดกั้นตัวเอง กลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งพวกเขาเอาไว้ ไม่ใช่เฉพาะเส้นทางการเต้นรำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือของทั้งคู่ด้วย เมื่อซูซุกิเองก็ชอบที่จะเป็นฝ่ายถูกควบคุมโดยซูงิกิเช่นกัน
แต่เพราะการเต้นรำไม่ใช่การปล่อยให้อีกฝ่ายควบคุมโดยสมบูรณ์ ดังนั้นความสัมพันธ์นี้จึงไม่ได้รื่นรมย์เหมือนจังหวะเวียนนีสวอลซ์ (Viennese Waltz) หากแต่มุ่งหน้าเข้าใกล้จุดแตกหักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อซูซุกิเริ่มรู้สึกสับสนว่าตกลงแล้วซูงิกิชอบเขาจริงๆ หรือจงใจหลอกใช้ เพื่อให้ตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นกันแน่ เหมือนกับที่เคยควบคุมฟุซาโกะ หรือการเขาควบคุมอารมณ์โกรธ แม้ว่าแฟนเก่าจะทิ้งเขาไป เพราะเชื่อว่าเขาไม่สามารถนำพาอีกคนไปสู่แชมป์โลกได้
ความหนักอึ้งถูกถ่ายทอดออกมาด้วยภาพโคลงเคลงแบบหนังหว่องกาไว ขณะเดียวกันความเงียบและฉากระเบิดอารมณ์ยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัดมากขึ้น เพราะเมื่อทั้งคู่ไม่สามารถปรับจังหวะให้เข้ากันได้ สุดท้ายการเต้นรำก็อาจเต็มไปด้วยความอัดอั้น หงุดหงิด และความโกรธ จนต้องหยุดเต้นรำและแยกย้ายกันไป
การยอมรับความเปราะบางที่ช่วยให้เข้มแข็งขึ้น
‘ภาชนะการบ่มเพาะความรักที่ดีที่สุด อาจเป็นการเต้นรำก็ได้’
หลังจบการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 73 เหตุการณ์ทั้งหมดนำมาถึงจุดแตกหัก เมื่อความเร่าร้อนของซูซุกิรุนแรงเกินต้าน ทำให้ซูงิกิรู้ว่า เขาอาจไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับคนที่เชื่อมั่นว่าตัวเองควบคุมสิ่งต่างๆ อย่างซูงิกิ ดังนั้นเขาจึงรีบปกป้องตัวเอง และผลักไสให้ซูซุกิ กลายเป็นศัตรู เพื่อไม่ให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่านี้
การย้ำสถานะว่าทั้งคู่คือศัตรู ทำให้ซูซุกิเจ็บปวดอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะเขารู้สึกชอบซูงิกิเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนการถูกหักหลัง เพราะมันยิ่งตอกย้ำว่าเขาคิดถูก ที่เชื่อว่าซูงิกิใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อพาตัวเองไปจุดสูงสุด
ความเจ็บปวดทำให้ซูซุกิถึงกับเลิกเต้นไปพักหนึ่ง โชคดีที่อากิช่วยดึงเขาออกจากความเศร้า จนได้กลับมาแข่งขันในเอเชียนคัพอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หลังจากความสัมพันธ์ที่พังทลายลงเมื่อ 6 เดือนก่อน

การแข่งขันครั้งนี้ต่างไปจากเดิม เพราะเป็นครั้งแรกที่ซูซุกิก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน และเข้าร่วมการแข่งขันนานาชาติเป็นครั้งแรก แม้ว่าซูซุกิจะไม่ได้ชนะเลิศจากการแข่งขันครั้งนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้แสดงความกระหายชัยชนะ นิสัยหนึ่งที่เขาได้รับมาจากซูงิกิ ขณะเดียวกันงานนี้ซูซุกิ ที่ได้เป็นแขกพิเศษก็ทำตามหัวใจของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยการชวนซูซุกิมาเต้นรำกับเขาต่อหน้าทุกคน จนกลายเป็นการแสดงที่น่าจดจำของพวกเขาทั้งคู่
ท้ายที่สุดแล้ว 10 Dance ไม่ได้เล่าเพียงเรื่องของการแข่งขัน หรือความรักระหว่าง boys’ love เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง บางครั้งอาจไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการยอมรับทั้งด้านที่เปราะบางและด้านเข้มแข็ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรากล้าก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เรียนรู้จังหวะใหม่ร่วมกับใครอีกคน
เมื่อเราเลิกกังวลกับตัวเอง ที่เหลือก็แค่สนุกไปกับจังหวะเพลงตรงหน้าก็พอแล้ว