ในงาน StreetFoto San Francisco นอกจากคุณทวีพงษ์ และคุณอังกูร ซึ่งได้ไปคว้ารางวัลมา รวมไปถึงคุณจุฑารัตน์ ที่ได้ผ่านเข้ารอบ finalist ถึง 2 หมวดจากงานนี้แล้ว ยังมีคนไทยอีกหลายคนที่ผ่านเข้ารอบ finalist ในหมวด Best street photograph โดยภาพที่ส่งเข้าประกวดจะถูกคัดเหลือเพียง 64 รูป ในรอบนี้คนไทยบางคนได้เข้ารอบถึง 2 รูป บางคน 1 รูป นับว่าเป็นเวทีการประกวดที่คนไทยจำนวนมากได้มีโอกาสไปแสดงผลงานบนเวทีระดับโลก
The MATTER จึงไปสัมภาษณ์ช่างภาพสตรีทอีก 5 คนที่ผ่านเข้ารอบ ถึงที่มาที่ไปของรูปที่ผ่านเข้ารอบ finalist และเขาเห็นอะไรบ้างในรูปก่อนที่จะลงมือกดชัตเตอร์
จตุพร ปทีปะปานี
โดยปกติเราจะเดินออกมาถ่ายรูปทุกวันอยู่แล้ว วันนั้นมีเวลาถ่ายประมาณ 20 นาที เลยเดินไปที่ลานทะเลสาบหน้าหมู่บ้าน ซึ่งปกติถ้าไม่ว่างหรือเบื่อๆ ก็จะมาเดินถ่ายแถวนี้บ่อยๆ เราเห็นพี่คนนี้แต่ไกลจากหมวกของพี่เขา เลยรีบเดินเข้าไปกลัวพี่เขาจะไปก่อน ลองถ่ายมาหลายแบบ ทั้งใกล้ ไกล ยกกล้องขึ้นสูง ถ่ายงัดมุมเสย เราชอบตึกเรียงรายข้างหลังนั่นมากๆ อยู่แล้ว พยายามถ่ายให้พี่เขากับตึกอยู่ตรงกลางเฟรม ชอบความสมมาตรและความเหงาๆ ของภาพนี้ เพราะตอนนั้นฝนเพิ่งตก ท้องฟ้าเลยแปลกๆ โทนสีภาพเลยออกแนวขุ่นๆ เหงาๆ
ภาพถ่ายที่ไทเป ไต้หวัน ที่นี่เป็นเหมือนสถานที่จำลองวัดหรือวังเก่าของที่นั่น ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามบินภายในประเทศของไต้หวันพอดี ก็จะได้ยินเสียงเครื่องบินผ่านเป็นระยะๆ เรากับเพื่อนก็เดินเล่นในนั้นอยู่สักพัก จนเดินมาถึงมุมนี้ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินกำลังจะผ่านมา เลยยกกล้องขึ้นมาตั้งเฟรมรอ เผื่อเครื่องบินผ่านมาเข้าเฟรม แล้วก็มาจริงๆ รีบกดแบบไม่ลังเล ตอนได้มาดีใจมาก มือไม้สั่นไปหมดเลย
ธนคม ใหลสกุล
ตอนนั้นผมเริ่มทำ Project 365 มาได้สองสามวัน (Project 365 คือ project ที่ต้องถ่ายรูปทุกวันเป็นเวลา 365 วัน) วันนั้นมาถึงปายตอนเย็น ยังไม่รู้ว่าจะหาอะไรถ่าย กะไปถ่ายที่ถนนคนเดิน ข้างที่พักมีแม่น้ำปายไหลผ่านเลยพาลูกไปเดินเล่น พอดีมันมีโครงเหล็กเป็นรูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่ ลูกผมไปวิ่งเล่น ผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย สักพักมีครอบครัวฝรั่งพาลูกมาเล่นที่วงกลมนี้เหมือนกัน ผมเดินอยู่เห็นรูตรงกลางโครงเหล็ก ก็เกิดไอเดียถ่ายผ่านรูนี้ พอดีมีจังหวะหนึ่งที่ลูกผมกับเด็กฝรั่งซ้อนกันอยู่พอดี เลยรีบกดชัตเตอร์ออกมาเป็นรูปนี้
อาทิตย์ เลิศรักษ์มงคล
เราไปเที่ยวญี่ปุ่นและไปจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องหัวหอมซึ่งต้องขึ้นไปบนเขา เราขับรถขึ้นไปข้างบนเป็นร้านอาหาร คล้ายสถานที่ท่องเที่ยว แต่มันเงียบมาก เรากินข้าวเสร็จก็ออกมาเดินเล่น ซึ่งตรงนี้เราเห็นว่ามันมี potential ที่จะเป็นซีนที่ดีได้ แต่มันไม่มีคนเลย สักพักก็เริ่มมีคนเดินมาบ้างแต่ว่า subject ยังไม่ดี เราก็เลยเดินวนๆ อยู่แถวนั้น
ออกจากตรงนั้นมาสักพักเราก็เดินเข้าไปใหม่ เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงสองคนเดินมา ท่าทางน่าสนใจ พอเขาเดินเข้าไปเขาก็พยายามจะถ่ายรูปกับหัวหอมพอดี เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ จนมีอยู่ฉากนึงเขานั่งลงถ่ายรูปทั้งคู่ มันเป็นซีนที่สวยมาก เราก็เลยถ่ายซีนนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ gesture (ท่าทาง) มันพอดี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันพอดีหรือยัง เพราะเราถ่ายฟิล์ม เราก็ถ่ายจนเขาเลิกทำ แต่ว่าสุดท้ายพอมาล้างฟิล์มพอว่าแสงมันรั่ว มีจุดขาวหมดเลย มีรูปนี้ที่มันพอดีเลย ไม่มีแสงรั่ว และ gesture มันพอดี ซึ่งรูปที่แสงรั่ว gesture ก็ไม่ได้ดีเท่านี้นะ
ตะวันวาด วนวิทย์
ก่อนหน้านี้ผมจะรู้สึกว่าภาพที่ดีมันน่าจะอยู่ที่ไกลๆ หน่อย อาจจะต้องเดินทางไปที่ไกลๆ นั่งรถไฟ นั่งเครื่องบิน หรืออย่างน้อยที่สุดคือต้องออกไปเดินถ่ายแถวชุมชน มันน่าจะดีกว่าที่ใกล้ๆ ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ได้มาแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย! ที่นี่เราอยู่ทุกวันเลยนะ เห็นทุกวัน ในโรงงาน (ออฟฟิศผมอยู่ข้างบนโรงงาน) ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ภาพอย่างนี้มา
ภาพนี้ผมได้มาตอนพักเที่ยงที่ออฟฟิศผมเอง ผมเลือกหันกล้องเข้าทางนี้เพราะเห็นว่าแดดตอนเที่ยงมันตัดครึ่งโรงส่งของ ทำให้มีพื้นที่สีดำเป็นส่วนใหญ่ในเฟรมและมีคนยืนเล่นตะกร้อกันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมพยายามกดไปประมาณ 200 กว่าภาพและผมก็ลืม format การ์ดในกล้องซึ่งมีภาพ behind the scene ของหนังที่เพิ่งถ่ายกันเมื่อวานด้วย ผมเลยเหลือที่ว่างใน memory อีกประมาณ 30 ภาพเอง ตอนแรกผมเริ่มหงุดหงิดที่ผมเป็นคนไม่ค่อยมีความรับผิดชอบและเริ่มตึงที่จะไม่ได้ภาพแบบที่เห็นในหัว (ซึ่งเป็นนิสัยเสียของคนที่ทำงานโปรดักชั่นส่วนใหญ่) และผมก็เริ่มรู้สึกอายตัวเอง ที่กำลังเอานิสัยที่ไม่ค่อยดีตอนออกกองมาใช้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมีความเป็นธรรมชาติ กับความสนุกสูง ผมเลยคิดว่า “เออ งั้นไม่ต้องไปฝืนมันละกัน ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
เลยกลายเป็น 30 ภาพที่ผ่อนคลายมาก ซึ่งผมก็ถ่ายหมดอย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นลุงก็ถอยหลังมากระโดดโหม่งบอลพอดี บังเอิญว่าผมอยู่ข้างหลังเขาเป๊ะๆ เลย กลายเป็นสิ่งที่ไม่นึกถึงมาก่อนเลย ที่น่าสนใจคือหัวกับผมสีดำของแกที่โน้มไปข้างหน้าให้สีดำมันกลืนกัน เลยดูเหมือนไม่มีหัว
ความน่าเสียใจคือ External Drive ของผมเพิ่งพังไป ผมได้ทำการ Backup ภาพไว้หมดแล้ว ยกเว้นภาพนี้ สำหรับทุกๆ คนที่อ่านนะครับ ควร back up ทุกอย่างไว้หลายๆ ที่ วันที่ภาพมันหาย มันใจหายมากๆ เลย
ผมชอบภาพที่มันคุมสีครับ ส่วนใหญ่เวลาผมเดินผมจะเจออะไรที่เป็นสีเดียวกันไม่ค่อยบ่อย ตอนเจอฉากนี้เลยตื่นเต้นมากๆ เพราะภาพมันมีแค่สามสี คือสีฟ้า สีดำ สีเหลืองส้ม
ผมชอบยามมากๆ อยู่แล้ว ถ้าปรกติผมเดินไปที่ไหนสักที่ แล้วเจอยาม นั่นจะเป็นที่แรกที่ผมไป เพราะหลายอย่าง เครื่องแบบที่มันน่าสนใจ สีของเครื่องแบบที่ไม่ค่อยจะซํ้ากันเลยสักที่ และเค้าจำเป็นต้องอยู่แถวๆ ป้อมยามตลอดเวลา เลยเป็น subject ที่ผมชอบมาก
ส่วนตัวแล้วการจัดองค์ประกอบภาพแบบนี้คือองค์ประกอบภาพที่ผมชอบที่สุด มันคล้ายๆ กับการจัดวางภาพของพี่ซันที่ถ่ายหัวหอมยักษ์ คือวางเป็นรูปสามเหลี่ยม (แต่สามเหลี่ยมของพี่ซันแข็งแรงกว่ารูปนี้มาก)
ตอนแรกมันไม่ใช่ภาพสามเหลี่ยมครับ มันเป็นจุดสองจุดกับฉากสีเดียวกัน ซึ่งเอาจริงๆ มันก็เป็นภาพที่ดูดีประมาณนึง
จนกระทั่งมือที่สามในฉากหลังยื่นออกมาแล้วบอกว่า “ขอเอ็มร้อยหน่อย” ผมกดรัวที่สุดพร้อมกับดูขอบเฟรมให้รักษานํ้าหนักภาพไปพร้อมๆ กัน แต่ตอนนั้นสมองมันหยุดคิดไปแล้ว เพราะรู้ว่าได้ภาพที่ใช่แน่ มันก็เป็นภาพนึงที่น่าสนใจที่สุดของผมจริงๆ
ตอนที่กดชัตเตอร์ผมคิดอยู่เรื่องเดียวเลยคือนํ้าหนักของภาพ เพราะผมตั้งใจว่าจะพยายามไม่ครอปภาพเลย ผมรู้ว่าตรงกลางภาพมันได้แน่ๆ (ถึงแม้มันเกิดจะขึ้นไวมาก) ตาผมที่ถ่ายเลยสนใจแต่ขอบๆของภาพ อย่าชิดหัวลุงมากเกินไปนะ อย่าลงไปตํ่ากว่าเข่าเขานะ เพราะหลายๆ ครั้งในการถ่ายโฆษณา ผมจะกลัวการเฟรมคนที่ยืนอยู่ในลักษณะนี้มาก มันทำให้ดูสมดุลยาก
ครองพล โกมุทกุล
ผมมักจะมองหา subject ที่มี moment ทำกิจกรรมทำอะไรสักอย่างเลยชอบไปถ่ายตามสวน ตามลานกิจกรรม ซึ่งภาพนี้เอง ก็ได้จากป้อมพระสุเมรุที่ผู้คนมาออกกำลังกาย มาพักผ่อนกัน มาสะดุดตาที่สุดคือพี่ผู้หญิงที่เล่นฮูลาฮูป ในตอนนั้นเองหัวสมองนี่คิดอะไรแทบไม่ออกเลย ว่าจะทำยังไงกับซีนนี้ดี มีความรู้สึกแค่อยากถ่าย มันต้องมีอะไรให้เล่นสักอย่าง พยายามทำพี่เขาเป็นฉากหน้าและพยายามจัดวางองค์ประกอบเก็บเรื่องราวในซีนนั้น จำได้ว่ายืนถ่ายเป็นชั่วโมงได้ ถ่ายจนเขาเลิกซ้อม
กลับมาบ้านมานั่งเลือกรูป เคยฟังพี่ๆ แอดมิน Street Photo Thailand สอนว่า การเลือกรูปนี่สำคัญไม่แพ้ตอนถ่าย เราเลยค่อนข้างจะตั้งใจเลือก อาจจะเลือกถูกบ้างผิดบ้าง ก็ให้เพื่อนๆ ช่วยตัดสินใจอีกแรง จึงได้ภาพนี้มา เพราะเราสังเกต ห่วงฮูลาฮูปที่ลอยอยู่กับท่าทางพี่ผู้หญิงที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับห่วง รู้สึกแปลกประหลาดเหมือนกับเราทำ photoshop วงไว้ ทำให้คนดูสนใจว่าเราวงอะไรให้เขาดู