ในช่วงเวลานี้มีอีเวนต์ที่น่าสนใจที่เรียกว่าพลาดไม่ได้ของมิตรรักแฟนศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปะภาพถ่าย กับนิทรรศการแสดงผลงานของช่างภาพระดับโลกผู้ล่วงลับที่หาโอกาสชมได้ยากยิ่ง นิทรรศการที่ว่านี้มีชื่อว่า Germaine Krull: Return of the Avant-Gardist (แกร์ไมเนอ ครูลล์ การกลับมาของศิลปินอาวองต์การ์ด) ที่จัดแสดงผลงานภาพถ่ายคัดสรรของ แกร์ไมเนอ ครูลล์ (Germaine Krull) ศิลปินช่างภาพ นักข่าวสงครามและนักปฏิวัติ ผู้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีในฐานะพลเมืองของโลก แกร์ไมเนอเป็นศิลปินภาพถ่ายหญิงระดับตำนาน เธอเป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานการถ่ายภาพสมัยใหม่ในโลกตะวันตก ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ช่างภาพผู้มาก่อนกาล (Avant-garde Photographer)’
แกร์ไมเนอ ครูลล์ เกิดในปี ค.ศ.1897 ที่เมืองโพเซ่น ประเทศเยอรมนี ช่วงวัยเด็กแกร์ไมเนอไม่ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษาตามปกติ แต่เรียนโฮมสคูลที่บ้านกับพ่อของเธอ ผู้เป็นวิศวกรและนักคิดนอกกรอบ เขามักจะแต่งตัวให้เธอเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งส่งผลต่อทัศนคติเกี่ยวกับบทบาททางเพศของเธอในภายหลัง ด้วยความที่ไม่มีประกาศนียบัตรมัธยมปลาย ทำให้แกร์ไมเนอไม่สามารถเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีได้ เธอจึงเข้าเรียนสายวิชาชีพช่างภาพที่สถาบันภาพถ่ายแห่งชาติที่เมืองมิวนิก ในปี ค.ศ.1915 และเธอเปิดสตูดิโอถ่ายภาพของตัวเองขึ้นในเมืองมิวนิกในปี ค.ศ.1918 ก่อนที่ในปีเดียวกันนี้เธอจะเข้าร่วมการปฏิวัติทางการเมืองด้วยวัยเพียงยี่สิบปี
หลังจากนั้นเธอไปใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ที่รัสเซีย, เบอร์ลิน และท้ายสุด ปารีส ที่นี่เองที่เธอค้นพบตัวตนและความสามารถของเธอ จากความหลงใหลในอุปกรณ์ถ่ายภาพที่เธอเรียกว่า ‘เจ้าแก่สีดำ’ (Old black thing) ที่เธอใช้เก็บภาพหอไอเฟลด้วยมุมกล้องสุดแหวกแนวจากด้านล่างอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จนกลายเป็นภาพหอไอเฟลที่ดูบิดเบี้ยวพิสดาร แสงเงาจัดจ้านของโครงสร้างเหล็กซับซ้อนมหึมาในสไตล์เอ็กซเพรสชั่นนิส และตีพิมพ์ออกมาเป็นอัลบั้มภาพถ่ายชื่อ Métal ที่ส่งให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังเจิดจ้าในชั่วข้ามคืน ในปี ค.ศ.1928 ครูลล์ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในช่างภาพที่ดีที่สุดในปารีสเคียงบ่าเคียงไหล่ช่างภาพระดับตำนานอย่าง อังเดร เคอร์เตส (Andre Kertész) หรือ แมน เรย์ (Man Ray) เลยทีเดียว

Tour Eiffel (1928) Gelatin silver print, The Metropolitan Museum of Art, New York, Ford Motor Company Collection, Gift of Ford Motor Company and John C. Waddell, 1987 (1987.1100.54)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แกร์ไมเนอ ครูลล์เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านชาวฝรั่งเศสที่ต่อสู้กับรัฐบาลฝรั่งเศสที่ร่วมมือกับนาซีเยอรมนี ในแอฟริกา, บราซิล และถ่ายภาพเมืองต่างๆ ในประเทศเหล่านั้นมากมาย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เธอเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะนักข่าวสงคราม ก่อนที่เธอในวัย 50 จะกลายเป็นผู้บริหารโรงแรมโอเรียนเต็ล ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ร่วมกับ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ราชาผ้าไหมไทยชาวอเมริกัน และในช่วงเวลานั้นเองเธอได้ออกหนังสือภาพถ่ายเชิงสารคดีในประเทศไทยถึงสองเล่ม อย่าง Tales from Siam และ Bangkok: Siam’s City of Angels
โดยหลังจากใช้เวลายี่สิบปีในประเทศไทย แกร์ไมเนอ ครูลล์ในวัย 70 ปี ก็เดินทางไปยังอินเดีย เข้าไปร่วมช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยในทิเบตในความคุ้มครองขององค์ทะไล ลามะ และกลายเป็นพุทธศาสนิกชน ก่อนที่จะตีพิมพ์หนังสือภาพถ่ายเล่มสุดท้ายอย่าง Tibetans in India ที่มีภาพถ่ายของทะไล ลามะอยู่ด้วย ในปี ค.ศ.1968 หลังจากเผชิญอาการป่วยหนัก แกร์ไมเนอย้ายกลับไปอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราในเมืองเวทซลาร์ เยอรมนี ที่ซึ่งเธอเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1985

Pol Rab (illustrateur) (1930), photomontage, gelatin silver print, Amsab-Institut d’Histoire Sociale, © Estate Germaine Krull/ Museum Folkwang
นิทรรศการครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผลงานภาพถ่ายของแกร์ไมเนอ ครูลล์ ถูกจัดแสดงในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ เมืองที่เธอเคยใช้ชีวิตอยู่นานถึงสองทศวรรษ และทิ้งร่องรอยไว้อย่างน่าประทับใจ โดยนำเสนอภาพถ่ายของครูลล์ที่ถูกคัดสรรจากผลงานสะสมของเธอใน พิพิธภัณฑ์โฟลค์วัง (Museum Folkwang) แห่งเมืองเอ็สเซิน เยอรมนี นอกจากผลงานภาพถ่ายแล้วนิทรรศการยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลงานเชิงทดลองอันแหวกแนวและชีวิตอันน่าทึ่งของช่างภาพหญิงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ รวมถึงสิ่งพิมพ์ หนังสือ และหลักฐานะเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคมในยุคสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่อย่างละเอียดละออ
แอนนา–แคทารีน่า เกบเบอร์ส (Anna-Catharina Gebbers) ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยฮัมบวร์กเกอร์ บาห์นฮอฟ (Hamburger Bahnhof) เบอร์ลิน ผู้ร่วมคัดสรรผลงานกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของนิทรรศการครั้งนี้ว่า
“นิทรรศการนี้เริ่มต้นจากการค้นหาต้นฉบับภาพถ่ายของ แกร์ไมเนอ ครูลล์ ที่มีเหลืออยู่ไม่กี่แห่งในเยอรมนี แห่งแรกคือที่เมืองมิวนิค อีกแห่งคือในพิพิธภัณฑ์โฟลค์วัง ที่เก็บต้นฉบับผลงานภาพถ่ายของเธอเอาไว้ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์มีความกรุณาให้เราเข้าถึงต้นฉบับของเธอ และยังอนุญาตให้ทำสำเนาภาพของเธอออกมาใหม่เพื่อจัดแสดงได้ นอกจากการเข้าถึงภาพต้นฉบับของจริงแล้ว ฉันยังมีโอกาสได้เข้าไปดูในคลังข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ เพื่อตรวจสอบปีและสถานที่ที่ถ่ายภาพ หรือชื่อของผู้คนที่อยู่ในภาพถ่ายของเธอได้ ทำให้ฉันสามารถคัดสรรภาพถ่ายในนิทรรศการนี้โดยสาวกลับไปได้ถึงต้นตอของมัน”
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ผลงานภาพถ่ายของแกร์ไมเนอ ครูลล์ ที่จัดแสดงในนิทรรศการนี้ ถึงแม้เป็นสำเนาของภาพถ่ายต้นฉบับที่พิมพ์ใหม่ด้วยระบบอิงค์เจ็ตทั้งหมด แต่คุณภาพของรายละเอียด น้ำหนัก และแสงเงา ก็มีความชัดเจน หนักแน่น แทบไม่ต่างไปจากภาพถ่ายต้นฉบับเลยก็ว่าได้
“ภาพถ่ายเหล่านี้ถูกทำสำเนาขึ้นใหม่จากภาพถ่ายต้นฉบับเดิม ด้วยความที่ในอนาคต ทางพิพิธภัณฑ์วางแผนจะทำห้องสมุดภาพถ่ายที่รวบรวมภาพถ่ายทั้งหมดของเธอที่คัดเลือกเอาไว้จำนวน 500 ภาพ ที่คุณสามารถยืม (สำเนา) ภาพไปใช้ได้ เพราะภาพต้นฉบับมีความบอบบางมากจนไม่สามารถนำออกไปเจอสภาพอากาศที่มีความชื้นหรือแสงสว่างจ้าๆ ได้ ฉันคิดว่าเป็นโอกาสอันดีมากๆ ที่เราสามารถการทำสำเนาภาพขึ้นใหม่ เราจึงไม่จำเป็นต้องขนส่งภาพต้นฉบับผ่านระบบควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สามารถขนส่งได้ในราคาไม่แพงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า อีกทั้งภาพถ่ายที่ถูกทำสำเนามาก็มีคุณภาพที่ดีเยี่ยมไม่แพ้ต้นฉบับ เพราะทางพิพิธภัณฑ์เป็นผู้ทำขึ้นโดยนักอนุรักษ์และเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์
ซึ่งมีความละเอียดลออในการตรวจสอบคุณภาพของภาพที่ทำสำเนาให้มีความเที่ยงตรงกับต้นฉบับ 100% ซึ่งทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งๆ ที่พิมพ์ด้วยระบบอิงค์เจ็ต และด้วยความที่เป็นภาพพิมพ์อิงค์เจ็ตทำให้ภาพมีความทนทานอยู่ได้ยาวนานมากกว่าภาพถ่ายแบบดั้งเดิม เพราะสภาพอากาศของไทยมีความชื้นสูงกว่าที่เยอรมันมาก จนไม่สามารถนำภาพต้นฉบับของจริงมาจัดแสดงได้ ฉันรู้สึกยินดีมากที่ทางพิพิธภัณฑ์ทำสำเนาภาพถ่ายคุณภาพสูงที่สามารถจัดแสดงในนิทรรศการในประเทศไทยได้มาให้เรา ฉันคิดว่าเป็นโอกาสดีมากที่เราสามารถแสดงผลงานที่ถูกคัดเลือกมาชุดนี้ จนทำให้คนไทยสามารถดูผลงานของเธอได้อย่างใกล้ชิด”
แคทารีน่า เกบเบอร์สภัณฑารักษ์ของนิทรรศการตอกย้ำให้เราฟังถึงบทบาทของแกร์ไมเนอ ครูลล์ ในฐานะศิลปินว่า
“แกร์ไมเนอ ครูลล์ เป็นบุคคลสำคัญมากในประวัติศาสตร์ภาพถ่าย แต่ฉันคิดว่าในปัจจุบันมีไม่กี่คนที่รู้จักเธอ หรือแม้แต่รู้ว่าเธอเป็นคนถ่ายภาพสำคัญๆ ในประเทศไทย อย่างพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ที่เธอได้รับเกียรติอย่างมากให้เข้าไปถ่ายภาพ นอกจากภาพถ่ายข่าวหรือสารคดีแล้ว ผลงานภาพถ่ายในเชิงทดลองของเธอก็มีความโดดเด่นอย่างมาก และมีคุณค่าในเชิงศิลปะมากกว่าจะเป็นภาพถ่ายข่าวหรือสารคดีธรรมดาๆ”

Pont roulant, Rotterdam (1928), gelatin silver print, Stiftung Ann und Jürgen Wilde, Pinakothek der Moderne, © Estate Germaine Krull/ Museum Folkwang
นอกจากบทบาทในฐานะศิลปะแกร์ไมเนอ ครูลล์ ยังมีบทบาทอันโดดเด่นในฐานะนักปฏิวัติหญิงที่ลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการร่วมชาติในยุคสมัยของเธออีกด้วย
แกร์ไมเนอเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นอิสระในตัวเองสูง เธอหนีจากเยอรมันเมื่อนาซีขึ้นสู่อำนาจ ในช่วงนั้นเธออยู่ในฝรั่งเศส ซึ่งเธอเริ่มต้นวิชาชีพของตัวเองในฐานะศิลปินในช่วงเวลานั้น หลังจากนั้นเธอก็ย้ายไปยังปารีสและกลายเป็นนักปฏิวัติ เพราะเธอเชื่อมั่นในเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเป็นเอกราช ในช่วงนั้นเธอติดตาม ชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle) รัฐบุรุษผู้นำฝรั่งเศสต่อสู้กับนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่สอง และเปลี่ยนสัญชาติเป็นฝรั่งเศส เพราะเธอคิดว่าเธอต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเป็นอิสระจากการปกครองของนาซี
หลังจากนั้นเธอก็เดินทางไปทั่วโลก ทั้ง บราซิล แอฟริกา ลาว และกัมพูชา จนกระทั่งมาถึงกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในปี ค.ศ.1947 และออกหนังสือภาพถ่ายเชิงสารคดีในประเทศไทยสองเล่มคือ Tales from Siam และ Bangkok: Siam’s City of Angels ซึ่งเธอพยายามอธิบายเกี่ยวกับประเทศไทยและสิ่งที่เธอสนใจเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนที่จะเดินทางไปอินเดียและทำผลงานในช่วงท้ายที่นั่น เธอเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอย่างเสรีและคุ้มค่ามาก จนเราสามารถสังเกตเห็นร่องรอยแห่งแรงขับเคลื่อนเหล่านี้จากผลงานภาพถ่ายและงานศิลปะของเธอ ที่แสดงออกถึงความเป็นอิสรเสรีที่ปรากฏผ่านภาพของผู้คน หรือแม้แต่ภาพของสถาปัตยกรรม จากมุมมองทางสายตาอันโดดเด่นของเธอ”
นอกจากความโดดเด่นในฐานะศิลปินและนักปฏิวัติทางการเมืองแล้ว แกร์ไมเนอ ครูลล์ยังมีความโดดเด่นในฐานะต้นแบบของการปฏิวัติบทบาททางเพศของผู้หญิงในยุคสมัยของเธอเช่นกัน
“แกร์ไมเนอ ครูลล์ เป็นแบบอย่างของผู้หญิงที่ถูกเรียกขานว่า Neue Frau (New Woman หรือ ‘สตรียุคใหม่’) ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ผู้หญิงเหล่านี้ตัดผมสั้น แต่งกายในเครื่องแต่งกายแบบผู้ชาย ทำงานของผู้ชาย มีความมั่นใจสูง และทำในสิ่งที่พวกเธอต้องการโดยไม่แคร์สายตาใคร ในยุคนั้นยังมีนักข่าวสงครามหญิงอยู่มากมายที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก ผู้หญิงเหล่านี้ต่างกล้าหาญและน่าสนใจอย่างมาก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง กลับไม่ค่อยปรากฏนักข่าวสงครามหญิง หรือผู้หญิงที่ขึ้นมามีบทบาทในสังคมเท่าไหร่นัก ซึ่งนี่คือตัวอย่างความเป็นสตรียุคใหม่ของแกร์ไมเนอ ครูลล์ ในยุค ค.ศ.1940 เธอทำงานถ่ายภาพโฆษณาให้กับบริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งในฝรั่งเศส แทนที่จะรับเงินค่าจ้าง เธอกลับขอเป็นรถยนต์แทน และใช้รถยนต์นี้ขับท่องเที่ยวคนเดียวไปทั่ว เธอทำแบบนี้จวบจนกระทั่งอายุ 70 ปี”

Les Amies (1924), The Metropolitan Museum of Art, New York, Purchase, The Horace W. Goldsmith Foundation Gift, through Joyce and Robert Menschel and Jennifer and Joseph Duke Gift, 2001 (2001.398)
นอกจากผลงานภาพถ่ายสารคดี และภาพถ่ายศิลปะเชิงทดลองสุดล้ำยุคล้ำสมัยแล้ว ครูลล์ยังเป็นที่รู้จักในฐานะช่างภาพนู้ดมือฉกาจ ที่เล่นกับแสงเงาบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของมนุษย์ได้อย่างโดดเด่นเธอยังหาญกล้านำเสนอประเด็นสุดอื้อฉาวเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในยุคนั้น อย่างภาพนู้ดที่แสดงความอีโรติกเย้ายวนของ Queer หรือหญิงรักหญิง ที่เปิดเผยรสนิยมทางเพศของเธออย่างอย่างเปิดเผยจะแจ้ง
“ผลงานที่เลือกมาจัดแสดงเป็นแค่ส่วนน้อยของเธอเท่านั้น ด้วยความที่เรามีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ฉันจึงต้องคัดเลือกผลงานในช่วงที่เธอทำงานภาพถ่ายเชิงทดลอง หรือภาพถ่ายเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเชียงใต้ของเธอเท่านั้น ทั้งๆ ที่ความจริงเธอทำงานภาพถ่ายหลากหลายแนวทางมาก รวมถึงภาพถ่ายนู้ด ที่น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดายที่เราคัดเลือกมาแสดงไม่ได้”
“สิ่งที่น่าสนใจในนิทรรศการนี้ คือเราต้องการรวบรวมสถานที่ที่แกร์ไมเนอ ครูลล์ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ ทั้งมิวนิค, บาวาเรีย, มอนติคาร์โล, ริโอ, เดอจาเนโร, นอร์มังดี, กัมพูชา, ประเทศไทย และธิเบต อันเป็นส่วนผสมอันน่าสนใจของสถานที่ ที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ การจัดแสดงผลงานในนิทรรศการนี้เป็นเหมือนการแสดงเส้นทางชีวิตของเธอตั้งแต่ตอนเธอยังเป็นสาวน้อยในปี ค.ศ.1916 ไปจนถึงผลงานหนังสือชิ้นสุดท้ายที่เธอทำในปี ค.ศ.1981-1982 เป็นการปิดท้าย”
นอกจากนิทรรศการสำรวจภาพชีวิตและผลงานของ แกร์ไมเนอ ครูลล์ แล้ว พื้นที่ข้างๆ ยังมีอีกนิทรรศการที่น่าสนใจไม่แพ้กันอย่าง New From Yesteryear: An Insight into the James H.W. Thompson Foundation’s Archive ที่แสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจิม ทอมป์สัน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับครูลล์ ผ่านภาพถ่ายและจดหมายเหตุในคลังเอกสารสำคัญของมูลนิธิเจมส์ เอช. ดับเบิลยู. ทอมป์สัน ที่คัดสรรโดย บรูโน่ เลอแมซิเยร์ (Bruno Lemercier) นักอนุรักษ์อาวุโสของมูลนิธิเจมส์ เอช. ดับเบิลยู. ทอมป์สัน อีกด้วย
นิทรรศการ Germaine Krull: The Return of the Avant-Gardist ร่วมคัดสรรโดย แอนนา-แคทารีน่า เกบเบอร์ส และ มาเร็น นีไมเออร์ (Maren Niemeyer) ผู้อำนวยการสถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย, จัดแสดงที่ Jim Thompson Art Center กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน – 2 ตุลาคม พ.ศ.2565 เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชม 50 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และสมาชิก เข้าชมฟรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร: 02-0015470, อีเมล์: artcenter@jimthompsonhouse.com, เว็บไซต์:www.jimthompsonartcenter.org
อ้างอิงข้อมูลจาก
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Jim Thompson Art Center