“พ่อครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
เด็กชายวัย 13 ปี ‘เจมี มิลเลอร์’ (โอเวน คูเปอร์ (Owen Cooper)) ตะโกนบอกพ่อในขณะที่หน่วยพิเศษถือปืนเล็งไปทางเขาและเจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังแจ้งว่าเขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรม เช้าวันธรรมดาของครอบครัวมิลเลอร์ตกอยู่ในความอลหม่านเพียงชั่วอึดใจของการบุกจับ
‘เอ็ดดี’ (สตีเฟน เกรแฮม (Stephen Graham)) คนเป็นพ่อบอกย้ำกับตำรวจว่านี่คือการเข้าใจผิดและพวกเขาบุกมาผิดบ้าน ‘แมนดา’ (คริสติน เทรมาร์โก (Christine Tremarco)) คนเป็นแม่คือคนแรกที่เจ้าหน้าที่เห็นหน้าหลังพังประตูบ้านเข้าไป ขณะนี้เธอหมอบอยู่กับพื้นทั้งน้ำตาในสภาพที่ยังสวมชุดคลุม คนสุดท้ายคือ ‘ลิซา’ (อามีลี พีส (Amelie Pease)) พี่สาวคนโต เธอทรุดลงกับพื้นตามคำสั่งทันทีที่เห็นปากกระบอกปืนจ่ออยู่ตรงหน้า
มินิซีรีส์ Adolescence (2025) เริ่มต้นแบบนั้น เรื่องเปิดฉากในบรรยากาศนิ่งเงียบระหว่างที่เจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังประจำจุดเฝ้ารอการบุกจับ ก่อนจะเป็นเหตุการณ์อึกทึกครึกโครมอย่างที่ได้เล่าไป และในช่วงเวลาที่ผมในฐานะคนดูกำลังเฝ้าดูการจับกุมนั้น ความสงสัยก็ค่อยๆ ก่อตัวจนเกิดเป็นคำถามที่ว่า เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่าง เจมี มิลเลอร์ เนี่ยน่ะหรือคือฆาตกร? เขาคือคนลงมือฆ่าจริงๆ ใช่ไหม? ทำไมถึงทำ? ไปจนถึง หลักฐานอะไรกันที่ทำให้ตำรวจมั่นใจนักหนาถึงขั้นต้องจับตัวเจมีด้วยความอุกอาจเช่นนั้น?
อย่างแรกที่ต้องบอกไว้ตั้งแต่ต้นคือ ซีรีส์ไม่ได้มีเนื้อหาอิงมาจากเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก เพราะสองผู้เขียนบท สตีเฟน เกรแฮม ผู้แสดงเป็นเอ็ดดี พ่อของเจมี และ แจ็ค ธอร์น (Jack Thorne)รวมถึงผู้กำกับ ฟิลิป บารันตินี (Philip Barantini) ได้นำข่าวสะเทือนขวัญบนหน้าสื่อมาเป็นหัวเชื้อสำหรับเนื้อหาในซีรีส์
เช่นเดียวกันกับผมที่ทึ่งกับสิ่งที่ตัวละครเจมีอาจได้กระทำและเหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญ ก่อนหน้าที่จะสร้างซีรีส์ สตีเฟนและแจ็คต่างก็ตกตะลึงกับข่าวเด็กวัยหนุ่มสาวถือมีดแทงเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง ไม่นานมานี้ในปี 2023 เด็กหนุ่มวัย 17 ได้ก่อเหตุแทงเด็กสาวสามคนในคลาสเรียนเต้นเพลง เทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือในปี 2024 นักเรียนชายชั้นมัธยมปลายเกาหลีใต้ลงมือแทงเพื่อนร่วมชั้นหญิง คงเป็นเหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้เองที่สตีเฟนและแจ็คหยิบยืมมาสร้างเป็นตัวละครชื่อ ‘เจมี มิลเลอร์’
จากทั้งหมด 4 ตอน Adolescence วางให้คนดูเป็นผู้สังเกตการณ์ ติดตามการสืบหาแรงจูงใจและอาวุธฆาตกรรมของ ‘สารวัตรสืบสวนบาสคอมบ์’ (แอชลีย์ วอลเตอร์ส (Ashley Walters)) และ ‘เจ้าหน้าที่สืบสวนแฟรงก์’ (เฟย์ มาร์เซย์ (Faye Marsay)) เฝ้ามองบทสนทนาระหว่างเจมีและนักจิตวิทยาคลินิก ‘อริสตัน’ (เอริน โดเฮอร์ตี (Erin Doherty)) ทิ้งท้ายด้วยการพาไปดูผลกระทบแสนสาหัสที่ครอบครัวมิลเลอร์ต้องรับมือหลังลูกชายถูกจับดำเนินคดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปโดยที่คนดูรู้อย่างชัดแจ้งตั้งแต่ตอนที่ 1 ว่า เจมีคือคนลงมือฆ่า ‘เคที เลนเนิร์ด’ เพื่อนสาวร่วมรุ่น แต่ต่อให้มีหลักฐานมัดตัวที่ยากปฏิเสธได้ เจมียังคงให้การว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด
การมุ่งเน้นไปที่ใครคือคนฆ่าจึงไม่ใช่หลักใหญ่ใจความของตัวซีรีส์ ประเด็นสำคัญที่ Adolescence ต้องการตั้งคำถามอาจเป็นว่า อะไรกันแน่ที่หล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งก่อเหตุฆาตกรรมและกลายเป็นฆาตกรในที่สุด หลายครั้งเมื่อมีข่าวใกล้เคียงกับกรณีของเจมีเกิดขึ้นในสังคม เรามักเห็นความเห็นที่ค่อนข้างจะสุดโต่งและตรงไปตรงมาว่า ฆาตรกรคือลูกเต้าเหล่าใคร? พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างไรถึงก่อเหตุร้ายแรงได้ลงคอ? Adolescence พยายามพาคนดูไปสำรวจความสงสัยที่ว่านั้น พร้อมขยายภาพให้เห็นในมุมกว้าง จนยากที่จะตัดสินด้วยการมองอย่างคับแคบและปัจจัยเพียงปัจจัยเดียว
หากการเป็นฆาตกรไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด
และครอบครัวเองก็ไม่ใช้สาเหตุเบื้องหลัง
แล้วอะไรกันที่สร้างฆาตกรขึ้นมา?
Adolescence ยังสะท้อนใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้อย่างลึกซึ้ง ในแง่ของการเผยให้เห็นช่องว่าง (gap) ระหว่างพ่อแม่กับลูกที่ช่างถ่างกว้างเสียเหลือเกิน ในวันที่ลูกต้องออกห่างจากอกพ่อแม่ไปสู่สังคมที่กว้างขึ้น ไปสู่รั้วโรงเรียน ไปสู่ชุมชน คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีทางรับรู้ได้ 100% ว่า ลูกของเราจะเจอใคร? ไปทำอะไรมา?
ฉากหนึ่งที่ฉายภาพช่องว่างนี้ได้อย่างแยบคาย คือตอนที่สารวัตรสืบสวนบาสคอมบ์เดินทางไปยังโรงเรียนที่เจมีและลูกชายของเขาเข้าเรียน เพื่อหาแรงจูงใจในการฆ่าและมีดก่อเหตุ ในวันนั้น บาสคอมบ์พบเจอแต่ความโกลาหลวุ่นวาย สภาพแวดล้อมของโรงเรียนแทบจะทำให้การสืบสวนของเขาผิดทิศผิดทาง สภาพของบาสคอมบ์คล้ายกับคนที่เดินหลงเข้าไปในพื้นที่ที่เขาไม่รู้จัก ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร โชคยังดีที่ ‘อดัม’ (อามารี บัคคัส (Amari Bacchus)) ลูกชายของเขาเองมาบอกใบ้ว่าเบาะแสที่พ่อต้องไปหานั้นอยู่ในไอจี (อินสตาแกรม) ต่างหาก
และพ่อผู้ไม่เข้าใจอะไรที่เด็กเจนใหม่สื่อสารกันในโลกออนไลน์เลยสักนิด อีโมจิยาเม็ดสีแดงระเบิด (💊💣) ที่เคทีส่งให้เจมีในไอจี ไม่ใช่ข้อความในแง่ดี แต่คือการสื่อเป็นนัยถึงคอมมูนิตี้ชายแท้ อีกทั้งยังมีอีโมจิเยาะเย้ยว่าเจมีคือ ‘อินเซล (incel)‘ กลุ่มชายที่ถือพรหมจรรย์โดยไม่สมัครใจ ด้วยหมดหวังที่จะมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง บาสคอมบ์คงไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดนี้เลยถ้าลูกไม่อธิบายให้ฟัง
คนดูจะได้เห็นการพยายามทำความเข้าใจตัวตนของลูกที่แม้จะไม่มีทางเข้าใจได้เลยในฉากใจสลายระหว่างเอ็ดดีและแมนดาผู้เป็นพ่อแม่เจมี มันคือการปรับทุกข์ของสองสามีภรรยาในสภาพใจพังเพื่อหาคำตอบว่าพวกเขาเลี้ยงลูกผิดตรงไหน ในเมื่อเอ็ดดีคือพ่อที่ไม่เคยเฆี่ยนตีลูก เพราะไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บปวดอย่างที่ตัวเองเคยโดน กลับต้องมาโบยตีตัวเอง โทษตัวเองที่ยังทำดีไม่พอ ส่วนแมนดาคือแม่ผู้กาวเชื่อมทุกคนในครอบครัว กลับต้องมาคอยอดกลั้นในแต่ละวัน ทนเห็นความเจ็บช้ำในสีหน้าแววตาของสามี
นอกจากประเด็นอันหนักอึ้ง Adolescence มีความพิเศษอีกหนึ่งประการคือ ทุกตอนถ่ายทำแบบ long take ไม่มีการตัดฉากแม้แต่น้อยตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อตอน ทำให้ Adolescence เป็นซีรีส์ที่ยากจะละสายตา ทั้งจากตัวเนื้อเรื่อง และเทคนิคการถ่ายทำที่น่าทึ่ง เราจะเห็นกล้องเดินตามตัวละครหนึ่ง ทะลุผ่านประตูหน้าต่าง วิ่งตามอีกตัวละครหนึ่ง แล้วลอยขึ้นฟ้าในอีกไม่กี่นาทีต่อมา การเคลื่อนกล้องทั้งหมดดูลื่นไหลคล้ายกับว่าคนดูไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ซึ่งตรงนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับผู้กำกับภาพ แมทธิว ลูอิส (Matthew Lewis) และทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานอย่างหนัก รวมถึงนักแสดงที่จำเป็นต้องแม่นยำในบทของตัวเอง
เทคนิคที่ทำให้การถ่าย long take ไปรอดคือการเตรียมการและการซ้อมหนัก แต่ละตอนใช้เวลาถ่ายทำสามสัปดาห์ สัปดาห์แรกซ้อมคิวการแสดง สัปดาห์ที่สองนักแสดงซ้อมพร้อมกล้อง และสัปดาห์ที่สามถ่ายทำจริง เท่ากับว่าซีรีส์ 4 ตอนเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำไปมากกว่า 12 สัปดาห์ การถ่าย long take นับว่ารีดเอาทักษะการแสดงของนักแสดงออกมาได้เต็มความสามารถ ชัดที่สุดคือการแสดงของ โอเวน คูเปอร์ กับ เอริน โดเฮอร์ตี ในฉากที่ทั้งคู่ต้องต่อบทกันตลอดหนึ่งตอนเต็ม ความทรงพลังของฉากนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า นักแสดงหนุ่มน้อยคูเปอร์น่าจะมีอนาคตไกลในวงการทีเดียว
ซีรีส์ Adolescence ชวนให้นึกถึงซีรีส์สืบสวนจิตใจฆาตกร Mindhunter (2017-2019) อยู่ไม่น้อย จะต่างกันก็ตรงที่ Mindhunter สนใจอยู่กับการขุดค้นตัวตนของฆาตกรลงไปแนวดิ่งผ่านพฤติกรรมและความคิดของตัวฆาตกรเพียงคนเดียว ทว่า Adolescence คือการกวาดสายตาไปในแนวราบ มองบริบทโดยรอบที่ห้อมล้อมและส่งผลให้ใครสักคนเป็นฆาตกร
คำกล่าวที่ว่า “การเลี้ยงเด็กหนึ่งคน ต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน” จึงอาจเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก
อ้างอิงจาก