ความรู้สึกไม่มีหวังนั้นฟังดูเข้าใจยาก เมื่อเราไม่เคยได้ยืนอยู่ในจุดนั้นจริงๆ
ยืนในจุดนั้นที่ว่านั้นไม่ได้จำเป็นว่า ต้องหมายความถึงความสิ้นหวังในเชิงกายภาพ หรือพบเข้ากับประสบการณ์จนมุมมืดแปดด้านในชีวิต ที่อาจจะเกิดจากความไม่สามารถสนับสนุนการรอดชีวิตของตัวเอง หรือคนรอบตัวเท่านั้น แต่มันอาจเป็นความรู้สึกที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกคน เมื่อเราพบกับอะไรบางอย่างที่กระทบกระทั่งจิตใจเราอย่างจัง ไม่ว่าจะเป็นการเสพข่าวสาร ที่ทำให้เรามองไม่เห็นอนาคตที่สดใสของตัวเองมากๆ การอยู่ในความสัมพันธ์แย่ๆ ที่เรารู้สึกว่าไม่อาจตัดขาดได้ หรือการอยู่ในกลุ่มก้อนที่สร้างความรู้สึกเช่นนั้นกับคนในกลุ่มโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม
ความไม่มีหวัง นำเราแต่ละคนไปยังที่ที่ต่างกัน บางครั้งเราก้าวข้ามมันไปเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม บางครั้งเรายอมรับมันแล้วเดินหน้าไปหาความหวังอื่นๆ แต่บางครั้งในบางคน ความไม่มีหวังนั้นๆ ท่วมท้นและพาเขาจมลงไปในความรู้สึก แม้จะมองจากไกลๆ แล้วมันเป็นความไร้หวังที่ยิ่งใหญ่ หรือดูเล็กน้อยหรือไม่สมเหตุสมผล ทว่าสิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นจริงเสมอคือการจมนั้นๆ และผลลัพธ์ของมัน
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2014 เอเลียต ร็อดเจอร์ (Elliot Rodger) ชายอายุ 22 ปี ได้อัดวิดีโอยาว 7 นาที เขาพูดเกี่ยวกับ “วันชดใช้กรรม” ที่กำลังจะมาถึง และในวันถัดมา เอเลียตได้คร่าชีวิตคนไปจำนวน 10 ราย เป้าหมายหลักของเขาคือบ้านชมรมหญิง Alpha Phi มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานต้า บาบาร่า ชมรมที่เขาพูดไว้ในวิดีโอว่า เป็นชมรมที่มีผู้หญิงที่หน้าตาดีที่สุด
แล้วอะไรคือเหตุผลในการกระทำของเอเลียต? คำตอบนั้นอยู่ในวิดีโอ 7 นาทีนั้นที่เล่าถึงทั้งแผนการและแรงจูงใจของเขา เขากล่าวว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของเขาต้องทุกข์ทนอยู่กับการโดนปฏิเสธและแรงปรารถนาที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม “ผู้หญิงให้ความสนใจ ให้เซ็กซ์ ให้ความรักแก่ชายคนอื่น แต่ไม่เคยให้ผม” เขาพูด ทั้งยังเทียบตัวเองกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่มีคนรักแล้วเรียกตัวเองว่า “สุภาพบุรุษที่เหนือกว่า” (Supreme Gentleman) และเขาเองก็ไม่อาจหาเหตุผลเรื่องที่ไม่มีใครต้องการเขาได้
เอเลียตเรียกการกระทำของเขาว่า “การล้างแค้นต่อมนุษยชาติ” วิดีโอวนเวียนอยู่กับความคับแค้นว่าโลกที่เขาอยู่ไม่ยินยอมให้เขามีความสุข เขาบอกว่าหากเขาทำได้มากกว่านั้น เขาจะทำให้มนุษยชาติที่เขามองว่าน่าชิงชังกลายเป็นเนินเขาหัวกะโหลกและแม่น้ำที่เต็มไปด้วยเลือด “และคุณทุกคนสมควรได้รับการลงทัณฑ์ในฐานความผิดที่มีชีวิตที่ดีกว่าผม” เขาพูดบนรถบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) ที่ครอบครัวซื้อให้
หลังจากก่อเหตุ เอเลียตได้หลบหนีตำรวจและจบชีวิตตัวเองด้วยการยิงตัวตาย
จากวิดีโอและข้อเขียนที่เอเลียตทิ้งเอาไว้ ชัดเจนว่าเอเลียตมีแนวคิดตรงกันกับกลุ่มชุมชนออนไลน์ที่ชื่อว่า ‘Involuntary Celibates’ หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางกว่าในชื่อย่อว่า ‘Incels’ กลุ่มชุมชนออนไลน์ของผู้ชายที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีตรรกะและความเชื่อภายในผิดๆ ว่าเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจได้รับความรักและเซ็กซ์จากผู้หญิงได้นั้น เกิดจากส่วนผสมของพันธุกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อาจจะที่ความสูง เชื้อชาติ หรือรูปทรงของกะโหลก และธรรมชาติความเป็นหญิงที่ Incel คิดขึ้นมา
แนวคิดของ Incel นั้นวางอยู่บนฐานแนวคิดเกลียดชังผู้หญิง และชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อมองไปยังภาษาและความเชื่อ เช่น การเปรียบเทียบอวัยวะเพศหญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมามากกว่า 1 คนว่า ‘Roastie’ หรือความเชื่อว่าแม้ผู้ชายหน้าตากลางๆ นั้นจะสามารถมีคู่รักได้ แต่เหตุผลนั้นมาจากว่า ผู้ชายเหล่านั้นมีสถานะทางสังคมหรือการเงินที่สูงมากพอให้ผู้หญิงเกาะ
ถ้าลองฟังข้อถกเถียงแปลกๆ เหล่านี้แล้วรู้สึกว่ามันคุ้นหูก็ไม่น่าแปลกใจเลย เนื่องจาก Incel มีเพื่อนบ้านเป็นกลุ่มแนวคิดเกลียดชังผู้หญิงในโลกออนไลน์อื่นๆ ด้วย เช่น Men’s Right Activist, Men Going Their Own Way หรืออินฟลูเอนเซอร์สาย ‘นักจีบสาว’ (ที่ดูจากแนวคิดและการกระทำมักใกล้เคียงกับ Sexual Predator มากกว่า) ที่เราเรียกโดยรวมว่า มโนสเฟียร์ (Manosphere) และทั้งหมดคือกลุ่มที่แม้ว่าจะคุยต่างเรื่องกัน แต่ทั้งหมดมักเริ่มข้อถกเถียงมาจากรากของความเป็นชายตามขนบ
‘Incels’ กลุ่มชุมชนออนไลน์ของผู้ชายที่ไม่มีเพศสัมพันธ์
ซึ่งมีตรรกะและความเชื่อภายในผิดๆ
ว่าเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจได้รับความรักและเซ็กซ์จากผู้หญิงนั้น
เกิดจากส่วนผสมของพันธุกรรมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เราสามารถลิสต์ความคาดหวังความเป็นชายตามขนบออกมาได้ เช่น ความแข็งแรง ความอดทน การไม่อ่อนไหวทางความรู้สึก การต้องการเป็นผู้นำหรือผู้ครอบครอง ซึ่งเมื่อลองคลี่มันออกมาแบบนี้ก็อาจจะทำให้เราร้องอ๋อหน่อยๆ ว่าทำไม Incel ผู้เกลียดชังผู้ชายที่ได้มีชีวิตรักและเซ็กซ์ ถึงได้เข้ากันได้ดีกับนักจีบสาว ที่เพ่งเล็งการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจำนวนมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ เหตุเพราะพวกเขากำเนิดมาจากหลักคิดแบบเดียวกัน
สิ่งที่กลุ่มคนทั้งหมดนี้แบ่งปันร่วมกัน คือสิ่งที่ Incel เรียกว่า ยาเม็ดสีแดง (Redpill) ทฤษฎีทางสังคมที่เป็นหัวใจของทั้งชุมชน ทฤษฎีดังกล่าวเชื่อว่าผู้หญิงจะเลือกแต่งงานกับคนที่อยู่เหนือกว่าสถานะทางสังคมของตัวเองไป 1-2 ขั้น ซึ่งเมื่อมองผ่านมุมมองของ Incel แล้วนั่นคือการวัดจากลำดับความงามที่ Incel มองเป็นคะแนน 1-10 โดยพวกเขาจะอยู่ที่ 1-2 หรือคนที่ไม่อาจมีความสัมพันธ์ได้
ทฤษฎีดังกล่าวได้ชื่อมาจากการกินยาเม็ดสีแดงจากภาพยนตร์ The Matrix ซึ่งเป็นเม็ดยาที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะพบกับการตื่นรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นั้นมีโครงสร้างเบื้องหลัง ที่ไม่มีใครรู้นอกจากผู้ที่กล้าพอจะเผชิญหน้ากับความจริงเท่านั้น ฉะนั้นไม่ว่าทฤษฎีดังกล่าวจะฟังดูหลุดโลกขนาดไหน แต่ในมุมมองของพวกเขานั้นคือความจริง ทว่านั่นยังไม่ใช่จุดจบ เพราะสำหรับ Incel ยังมียาอีกหนึ่งเม็ด
หนึ่งในคำศัพท์ของ Incel คือ Ascension หรือการเปลี่ยนตัวเองจาก Incel ไปยังสถานะที่สูงกว่าผ่านการรวบรวมทุน การเปลี่ยนแปลงหน้าตา หรือการออกกำลังกาย ซึ่งมีคนในชุมชนจำนวนหนึ่งต้องการที่จะทำ แต่สำหรับอีกมุมมองหนึ่งคือการกินยาที่เรียกว่า ยาเม็ดสีดำ (Blackpill) นั่นคือการจมลงไปสู่ความสิ้นหวังว่า ไม่ว่าตัวของเขาเองพยายามมากขนาดไหน เขาจะไม่มีวันเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจาก Incel และทางออกเดียวของพวกเขาคือการ ‘Lie Down And Rot’ หรือ LDAR โดยย่อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ของชุมชน
ชุมชนแบบไหนกันที่มีศัพท์เฉพาะสำหรับการยอมแพ้ต่อชีวิตและการฆ่าตัวตาย?
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราหลายๆ คนคงคิดว่าแนวคิดรูปแบบนี้นั้นสุดโต่งเกินไป จะมีสักกี่คนเชียวที่กินยาเม็ดดำแบบเอเลียต ร็อดเจอร์? เพราะแนวคิดดังกล่าวเมื่ออ่านแล้วยังไงก็ดูหลุดโลกเกินกว่าที่จะเป็นกระแสหลักได้ ไปบอกใครเขาก็คงขำ จริงไหม?
ทว่าลองนึกถึงความนิยมของบุคคลสาธารณะอย่าง แอนดรูว์ เทต (Andrew Tate) ที่มีความเชื่อแบบชายแท้สุดโต่งเกี่ยวกับผู้หญิง เช่น เชื่อว่าหากเกิดเหตุข่มขืน เหยื่อก็ต้องรับผิดชอบเท่ากับผู้กระทำ หรือมุมมองว่าผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิงในแบบเดียวกันกับทรัพย์สินอย่างบ้านหรือรถ หากนึกถึงแนวคิดเหล่านั้นแล้วลองตั้งคำถามดูว่า ก่อนการโดนแบนออกจากโซเชียลมีเดีย คนที่แนวคิดรูปแบบนี้ในปี 2022 สามารถขึ้นเป็นที่นิยมบนโซเชียลมีเดียขนาดนั้นได้อย่างไร? ผู้ติดตามของพวกเขาจะเป็นใครไปได้ หากไม่ใช่คนที่มีแนวคิดแบบเดียวกับเขา?
คนที่มีแนวคิดแบบเดียวกันกับที่ Incel มีนั้น ไม่ต้องมีป้ายแขวนคอว่า “ฉันเป็น Incel” ก็มีได้ เพราะมันคือหนึ่งในแขนงของแนวคิดการเกลียดชังผู้หญิงนั่นเอง เราอาจจะบอกว่าการเล่นมุกเหยียดเพศเป็นแค่มีม และเราแยกแยะได้ว่าอะไรคือเรื่องตลกอันไหนคือมุก อาจจะพูดว่าเราต้องการค่านิยมความเป็นชายของปี 1950 เพราะกลัวว่าผู้ชายจะหายไป ไม่ไช่เพราะเหยียดผู้หญิงสักหน่อย หรือเราอาจจะแสดงจุดยืนว่าเราไม่เชื่อในเหยื่อจากข้อกล่าวหาข่มขืน เพราะเราเคยได้ยินว่าบางครั้งก็ไม่เป็นจริง (ถึงแม้ว่าตามสถิติจะน้อยมากๆ ก็ตาม) เราทุกคนสามารถพูดเช่นนี้ได้ โดยไม่ต้องแปะป้ายว่าเป็น Incel แต่ในเมื่อแนวคิดเหล่านั้นมันพุ่งไปในทิศทางเดียวกับป้ายที่แขวนมันเอาไว้จะมีผลอะไร?
ทำไมต้องเป็นเพราะพันธุกรรม? ทำไมต้องเป็นกะโหลก? นักปรัชญา นาตาลี วินน์ (Natalie Wynn) ตีความการใช้กะโหลกในวิดีโอของเธอเกี่ยวกับ Incel ว่าอคติและความหัวรั้นที่นำมาซึ่งความเกลียดชัง (Bigotry) และความเกลียดตัวเอง แทรกตัวเข้าไปทั่วชุมชนชุมชนหนึ่งได้แล้วนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันจะนำไปสู่การวางความเป็นจริงที่กลุ่มชุมชนเชื่อไว้ ณ หัวกะโหลกของมนุษย์ “กะโหลกนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มันเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมของความเป็นเนื้อแท้และความถาวร” เธอกล่าว
นั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับแนวคิดแบบเดียวกันกับ Incel คือปลายทางของความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่นั้น เชื่อว่าโลกเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขาไม่สามารถ Ascension ได้ โลกจะไม่หันหลังกลับไปยังค่านิยมของปี 1950 อีกต่อไป และไม่ว่าพวกเขาจะทำตัวตามขนบความเป็นชายขนาดไหน ความสุขที่พวกเขาบอกว่าจะได้รับก็มาไม่ถึงเสียที ปลายทางของมันทั้งหมดจึงจบลงที่ยาเม็ดสีดำทั้งสิ้น
เช่นเดียวกันกับที่เอเลียต ร็อดเจอร์ทำ และบ่อยครั้งไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่จะตาย
ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เราในฐานะสังคมต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไข เพราะสิ่งที่พวกเขาเชื่ออย่างไม่ถูกต้อง แน่ๆ คือความเชื่อว่าโลกนั้นไร้ความหวัง ไร้การเปลี่ยนแปลง เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเสมอ และบ่อยครั้งก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างดีขึ้น แม้ว่ายังต้องเดินไปอีกยาวไกล แต่สิทธิสตรีและผู้มีความหลากหลายทางเพศนั้น พัฒนาไปข้างหน้าอยู่เสมอผ่านการต่อสู้ที่ตรงจุด และสิ่งที่เราต้องทำให้ผู้ชายกลุ่มนี้เชื่อให้ได้ คือการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดนั้นไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่เขาหวัง เพราะสิ่งที่กดทับพวกเขาอยู่คือความเป็นชายตามขนบและโลกทุนนิยม ไม่ใช่ผู้หญิงและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือสังคมลิเบอรัล
ความเป็นชายในปัจจุบันมีปัญหา และปัญหาของมันไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้หญิง หรือเพราะโลกเปลี่ยนแปลง แต่เพราะขนบของความเป็นชายเองไม่เคยเปลี่ยนไปเลยต่างหาก
อ้างอิงจาก