กลางดึกบนถนนสายยาว ม่านหมอกสีเทาปกคลุมทั่วเสียจนมองแทบไม่เห็นทาง มีเพียงแสงจากดวงไฟเล็กๆ คอยให้ความสว่างเป็นระยะๆ เสียงฝีเท้ากระทบกับถนนกรวดแสนขรุขระ ค่อยๆ คลืบคลานเข้ามาใกล้จากทางไหนสักทางแบบไม่รู้ตัว
แม้ภาพบรรยากาศข้างต้น อาจดูเป็นเพียงบทบรรยายที่พบได้ทั่วไปในนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ซึ่งมักคอยสร้างอารมณ์และบรรยากาศชวนหลอน ให้คนอ่านได้คล้อยและอินไปตามกับเนื้อหา ทว่าทั้งหมดที่กล่าวมาคือส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนสภาพสังคมและชีวิตประจำวันจริงๆ ของผู้คนในยุควิกตอเรีย ยุคสมัยซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราว วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์
ไม่เพียงเท่านั้นนิยายสืบสวนสอบสวนยุคคลาสสิกทั้งหลาย ก็ดันเกี่ยวโยงกับความเป็นยุควิกตอเรีย ด้วยเช่นเดียวกัน วันนี้ The MATTER จึงอยากพาทุกคนย้อนเวลาไปสู่สมัยวิกตอเรีย พร้อมกางหน้าหนังสือนิยายสืบสวน เพื่อดูกันว่าสภาพสังคมสมัยนั้นเป็นอย่างไร แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้บ้านเมืองในยุคนั้นกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างสรรค์เรื่องลึกลับและคดีฆาตกรรม?
สภาพสังคมยุคสมัยวิกตอเรียเป็นอย่างไร
หากพูดถึงยุควิกตอเรียของอังกฤษ ทุกคนนึกถึงอะไรกัน?
สิ่งที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์และภาพจำของยุควิกตอเรียสำหรับใครหลายคน อาจเป็นสภาพสังคมที่เรียกได้ว่าแตกต่างกันสุดขั้วระหว่างคนรวยและคนจน ฟากหนึ่งของเมืองซึ่งเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของตึกรามบ้านช่องและความสะอาดสะอ้านของพื้นที่สาธารณะ ทว่าอีกฟากกลับเต็มไปด้วยสลัมและตรอกซอกซอยอันแสนแออัด เนื่องแน่นไปด้วยผู้คนที่อาศัยรวมกันอย่างเลือกไม่ได้
นี่คือผลพวงจากยุคสมัยแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมและหัตถกรรม ไปสู่เศรษฐกิจที่พึ่งพิงอุตสาหกรรมเป็นหลัก ผ่านการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้ามา โดยการเกิดขึ้นของยุคอุตสาหกรรมนี้เอง ก็ได้ทำให้สภาพสังคมและความเป็นอยู่ของประชาชนในอังกฤษเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
ผู้คนจากชนบทเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในเมืองมากขึ้น เพื่อหางานทำในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยในปี 1801 มีการจดบันทึกสัมโนประชากร พบว่า จำนวนประชาชนเพิ่มขึ้นราวๆ หนึ่งล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละเจ็ดร้อยภายในสิ้นศตวรรษ
แม้เมืองจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจยังไม่เร็วพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนจน แรงงานจากโรงงาน และโสเภณี จึงจำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างแออัด ก่อตัวเป็นสลัมตามย่านต่างๆ ของลอนดอน อาทิ ไวท์ชาเปล (Whitechapel), สปิตทัลฟิลส์ (Spitalfields), เบธนัลกรีน (Bethnal Green) ฯลฯ
ลอนดอนในยุควิกตอเรียจึงมีชื่อเสียงในด้านความสกปรกและความเสื่อมโทรม โดยท่อระบายน้ำและหลุมฝังกลบเต็มไปด้วยขยะ ศพผู้เสียชีวิตล้นสุสาน ถนนเฉอะแฉะไปด้วยขยะเน่าเปื่อย แถมยิ่งย่านไหนที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหามลพิษและฝุ่นควันร่วมไปด้วยอีก
ขณะเดียวกัน ปัญหาความยากจนข้นแค้นก็เข้ารุมเร้าผู้คนในย่านเหล่านี้ ก่อกลายเป็นอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการปล้น ชิงทรัพย์ หรือคดีฆาตกรรม อย่าง คดีของ Jack the Ripper ฆาตกรต่อเนื่องที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วไวท์ชาเปล ในช่วงปี 1888 เหยื่อของเขาส่วนใหญ่เป็นหญิงขายบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มคนชนชั้นล่างในสังคม ผู้ถูกผลักไสให้อยู่ในตรอกซอยอันมืดมิดและไร้การเหลียวแล
อย่างไรก็ตาม กระบวนการยุติธรรมในยุควิกตอเรียเอง ก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน มีการจัดตั้งกองกำลังตำรวจนครบาลลอนดอน (The Metropolitan Police Services) เป็นกองกำลังตำรวจพลเรือนรวมศูนย์แห่งแรก ขึ้นตั้งแต่ปี 1829 โดยมีกองกำลังที่แฟนหนังสือนิยายสืบสวนหลายคนอาจคุ้นหูอย่าง ‘หน่วยสกอตแลนด์ยาร์ด (Scotland Yard)’ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่ลอนดอนนอกเหนือจากใจกลางเมือง ซึ่งในคดีของ Jack the Ripper ก็มีพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบหลักด้วย
ถึงแม้จะมีการพัฒนากระบวนการยุติธรรม เพื่อสอดรับต่อปัญหาอาชญากรรมมากขึ้น แต่ก็อาจยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้เสียทีเดียว เพราะมีการบันทึกเอาไว้ว่า อัตราการเกิดอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น จากประมาณ 5,000 คดีต่อปี ในปี 1800 เป็น 20,000 คดีต่อปีในช่วงทศวรรษปี 1830
จะเห็นได้ว่าสภาพสังคมและเมืองในยุควิกตอเรียนั้น เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ อันเป็นผลพวงมาจากความเปลี่ยนแปลงของประเทศ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้เกิดอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพของยุควิกตอเรียที่หลายคนจดจำ จึงเต็มไปด้วยความมืดมน ความเหลื่อมล้ำ และอาชญากรรม
จากความเป็นวิกตอเรียสู่นิยายสืบสวนสอบสวน
เมื่อเรื่องราวอาชญากรรมเกิดขึ้นโดยทั่วไปในยุควิกตอเรีย ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงหันมาให้ความสนใจ จนถึงขั้นหาอ่านรายละเอียดและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหวังจะมีส่วนร่วมต่อการไขคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ด้วยสภาพสังคม ผู้คน และภาพของเมืองในยุควิกตอเรีย จึงไม่น่าแปลกที่นวนิยายสืบสวนจะถือกำเนิดเกิดขึ้นในยุคนี้ เพราะวรรณกรรมก็เปรียบเสมือนเครื่องสะท้อนสังคม The Murders in the Rue Morgue (1841) ของ เอดการ์ แอลลัน โพ (Edgar Allan Poe) จึงถูกเขียนขึ้น และถือเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนแรกของโลก แถมยังมี ‘มอนซิเออร์ ซี. ออกุสต์ ดูแป็ง’ เป็นตัวละครนักสืบตัวแรกที่ออกมาโลดแล่นบนโลกของนิยายสืบสวนสอบสวน
แม้นิยายเรื่องดังกล่าวของโพจะมีฉากหลังเป็นปารีส และไม่ได้เกี่ยวข้องลอนดอนหรือยุควิกตอเรียโดยตรง แต่มันก็เป็นเป็นวรรณกรรมชิ้นสำคัญ ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนนิยายแนวสืบสวนในยุคถัดๆ มาด้วย ซึ่ง ‘เชอร์ล็อก โฮมส์’ นักสืบมากฝีมือจากนิยายสืบสวนเลื่องชื่อชุด Sherlock Holmes ของ อาร์เธอ โคนัน ดอยล์ (Arthur Conan Doyle) ก็ได้รับอิทธิพลมาจากงานของโพด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้นิยายชุด เชอร์ล็อก โฮมส์ ถือเป็นภาพสะท้อนยุควิกตอเรียได้เป็นอย่างดี โดยฉากหลังของเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นใน ลอนดอนยุควิกตอเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศของเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม ซึ่งเต็มไปด้วยอาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นทางสังคม โดยมีหลายๆ ฉากในนิยายที่บรรยายถึงบ้านเมืองในยุคดังกล่าว การใส่ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง รวมไปถึงตัวของยอดนักสืบที่ใช้วิธีทางนิติวิทยาศาสตร์ในการสืบสวนหาความจริง ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคสมัยดังกล่าว
หรือกระทั่ง นิยายสืบสวนในยุคหลังๆ เอง ก็มีการดึงเอาความเป็นวิกตอเรียและเรื่องราวอาชญากรรมในยุคดังกล่าวหยิบมาเล่าอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น A Study in Terror (1966) นวนิยายจำลักษณ์มาจาก เชอร์ล็อค โฮมส์ ของ เอลเลอรี่ ควีน (Ellery Queen) โดยดึงเอาตัวละครเชอร์ล็อค โฮมส์มาเล่าต่อ ด้วยการหยิบมาเผชิญหน้ากับฆาตกรชื่อกระฉ่อนอย่าง Jack The Ripper ซึ่งเป็นการปลุกภาพของยุคสมัยแห่งอาชญากรรมและความมืดมิดนี้กลับขึ้นมาให้ผู้คนยุคสมัยใหม่ได้รู้จักกันอีกครั้งหนึ่ง
ยุควิกตอเรียจึงไม่เพียงแค่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของนิยายสืบสวนสอบสวน แต่มันยังกลายเป็นแรงบันดาลใจที่หล่อหลอมให้นิยายแนวนี้เติบโตและกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นตามช่วงเวลา อีกทั้งยังเป็นฉากหลังสำคัญในหลายเรื่อง แถมยังส่งอิทธิพลต่อวงการนิยายสืบสวนสอบสวนในยุคถัดๆ มาอีกด้วย
แล้วทุกคนมีนิยายสืบสวนสอบสวน ที่มีฉากหลังเป็นยุควิกตอเรียที่ชื่นชอบกันบ้างหรือเปล่า?
อ้างอิงจาก