*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง Bridgerton*
เมื่อหญิงสาวถึงวัยแรกแย้ม การเตรียมตัวเป็นภรรยาที่ดีจึงได้เริ่มต้นขึ้น งานสังคมอันทรงเกียรติจึงเป็นสถานที่สำคัญของชีวิตคู่ ชายหนุ่มหมายปองหญิงสาว หญิงสาวถูกใจชายหนุ่ม และพ่อแม่ที่คอยนำเสนอและสแกนฐานะของคู่หมั้นหมายตรงข้ามให้กับลูกสาวและลูกชายของตน นี่คือเรื่องราวของ Bridgerton
Bridgerton ซีรีส์ที่บอกเล่าชีวิตสังคมชั้นสูงของอังกฤษในปีค.ศ.1813 ผ่านแนวย้อนยุคโรแมนติกที่ทั้งหมด 8 ตอน เพิ่งได้ฉายซีซัน 1 บน Netflix Original ไม่นานมานี้ ผลงานกำกับจาก Chris Van Dusen และ Shonda Rhimes โดยอิงมาจากนวนิยายชื่อดังขายดีของ Julia Quinn ซึ่งได้สะท้อนเรื่องราวหลายด้านที่สวยงามและมืดมนของตระกูลเชื้อผู้ดีแห่งกรุงลอนดอน โดยเล่าย้อนไปยังยุค ‘รีเจนซี่’ (Regency) หรือก็คือช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทั้งในด้านของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และเรื่องของสังคม อีกทั้งยังเป็นยุคเปลี่ยนผ่านไปยังยุค Modern Age เพราะความมั่นคงของวัฒนธรรม แฟชั่น วรรณกรรมและศาสตร์อื่นๆ เริ่มเฟื่องฟู จึงทำให้อังกฤษเป็นที่ยอมรับไปทั่วทุกภูมิภาคกับการเป็นอาณานิคมที่แข็งแกร่ง
ฤดูกาลของการแต่งงานและการออกสังคมเป็นสิ่งที่หนังเรื่อง Bridgerton ต้องการที่จะนำเสนอเป็นหลักเพื่อสะท้อนถึงความยากลำบากของผู้หญิงในวงศ์ผู้ดี ที่ทั้งความอึดอันใจ ตื่นตระหนก กังวล เมื่อถึงวัยที่ต้องแต่งงาน และการแต่งงานนี้เอง จะเปรียบเสมือนว่าเป็นสิ่งเดียวในชีวิตของผู้หญิงที่จะสามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับวงศ์ตระกูลได้หากได้แต่งงานกับคนที่คู่ควรและพ่อแม่พึงพอใจ ผู้หญิงทุกคนจะต้องเลือกคู่ครองและแต่งงานออกไปเมื่อถึงฤดูกาล พวกเธอต้องเตรียมตัวอย่างหนัก ทั้งการศึกษา การอบรมกิริยา มารยาท การพูดและการประจบประแจงจากแม่ๆ ของเธอ
“ถ้าหนูหาสามีไม่ได้ หนูก็จะไร้ค่า” – ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน
แต่อีกประเด็นที่เราอยากหยิบยกมาพูดถึง คือเรื่องของคนผิวดำในราชวงศ์และกลุ่มคนชนชั้นสูงในเรื่อง Bridgerton ที่อาจจะสงสัยกันว่าสมัยนั้น คนผิวดำมีบทบาทในอังกฤษที่ขึ้นชื่อว่าเมืองของผู้ดีมากขนาดไหนและทำไมถึงดูเป็นอิสระและไม่มีการเหยียดกันในเรื่องของสีผิวเลย Young Matter ชวนไปดูประวัติศาสตร์ของคนผิวสีในอังกฤษและประวัติขององค์ราชินี Chatlotte ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของอิสรภาพนี้กัน
กลุ่มผิวสีในสังคมชนชั้นผู้ดี
หากพูดถึงผู้ดีอังกฤษ หลายคนอาจจะนึกภาพของชายหญิงผิวขาว ในชุดกระโปรงฟูฟ่องผ้าฝ้าย ผ้ามัสลินหรือผ้าไหมสีเข้มและสีพาสเทลปะปนกันไป แต่เนื้อหาของบริดเจอร์ตันนั้น เราจะเห็นคนผิวสีอยู่ในตระกูลผู้ดีจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไปเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะในความเป็นประวัติศาสตร์ยุคนั้น คนผิวดำกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมผู้ดีไปแล้ว แต่ยังมีจำนวนน้อยอยู่
ในปี ค.ศ.1764 นิตยสาร Gentleman ได้บอกเล่าถึงจำนวนคนผิวดำในช่วงนี้มีราวๆ 20,000 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอนและจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในเรื่องเราจะพบกับตัวละครผิวสีมากมาย ยกตัวอย่างตัวละครเด่น เช่น
Simon Basset (Duke of Hastings) รับบทโดย Regè-Jean Page ลูกครึ่งอังกฤษ-ซิมบับเว พระเอกของเรื่อง
องค์ราชินี Charlotte รับบทโดย Golda Rosheuvel
Lady Danbury รับบทโดย แอดโดจ แอนโดห์
แต่ที่เป็นที่น่าฮือฮาที่สุดของการเปิดตัวคนผิวสีของเรื่องคือตัวละครองค์ราชินี Charlotte เพราะเธอเองก็เป็นคนผิวสี นำแสดงโดย (Golda Rosheuvel) ที่คงต้องเล่าย้อนไปยังสมัยที่คนผิวดำเข้ามาที่อังกฤษแรกๆ พวกเขาก็เข้ามาเหมือนที่เข้าไปเป็นทาสและคนรับใช้ในอเมริกา ในอังกฤษเองก็เช่นกัน คนผิวดำและเหล่าลูกครึ่งได้ถูกนำมาอังกฤษโดยเรือแคริเบียน ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 18 หลังจากสงครามที่ท่าเรือ Portsmouth
จุดเริ่มต้นของพวกเขาก็เริ่มมาจากการเป็นทาสและคนรับใช้ เจ้านายหลายรายได้เข้ามาซื้อไปเพื่อทำงาน แต่ก็แน่นอนว่ามีบางคนที่ซื้อไปเพื่อให้พวกเขาเป็นอิสระ หลายคนเริ่มพบเจอกับความสามารถของคนผิวดำว่าทำได้มากกว่านั้น แต่แม้จะถูกซื้อไปแล้วน้อยคนนักที่จะได้เป็นอิสระ บางคนได้ทำเริ่มทำอาชีพของตัวเองก็จริง แต่ยังคงไว้ซึ่งหน้าที่ที่จำกัด เช่น นักเทศน์ นักแต่งเพลง ยกตัวอย่าง Ignatius Sancho (1729-1800) เขาคือบุคคลชาวผิวสีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งและเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยน้อยที่ถูกซื้อไปและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เขาเป็นทาสบนเรือและกลายมาเป็นนักประพันธ์เพลงและวรรณกรรมจนมีชื่อเสียง
ส่วน Queen Charlotte ซึ่งเป็นคนผิวดำที่ได้ขึ้นเป็นองค์ราชินีนั้น มีข้อสันนิษฐานจากนักประวัติศาสตร์หลายท่านเชื่อว่า แม้เธอจะเป็นเจ้าหญิงจากเยอรมัน แต่เธอก็มีเชื้อชาติเสี้ยวหนึ่งเป็นแอฟริกัน เพราะเธอเป็นญาติห่างๆ ของพระเจ้าอัลฟอนโซมหาราชที่ 3 แห่งราชวงศ์โปรตุเกส (King Alfonso III) หนึ่งในลูกชายของพระเจ้าอัลฟอนโซมหาราชที่ 3 คือ Martim Afonso Chichorro อภิเษกสมรสกับภรรยาชาวผิวดำและได้ให้กำเนิดลูกหลานมากมาย ส่วน Queen Charlotte เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องของ Duke Charles Louis Frederick of Mecklenburg ที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูล Martim Afonso Chichorro และภรรยาของ Duke Charles Louis Frederick คือ Princess Elisabeth Albertine of Saxe-Hildburghausen
การแสดงอำนาจความเป็นอิสระของผิวดำนั้นเกิดจากการที่ Queen Charlotte ก็ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1761 และทำให้กลุ่มผิวสีคนอื่นๆ นับถือเธอ
แต่ในความเป็นจริง เธอไม่ได้มีผิวดำจริงๆ อย่างที่เห็นในหนังซะทีเดียว
เรื่องนี้ Rosheuvel ได้ให้สัมภาษณ์กับ Insider ว่า หนังเรื่องนี้สร้างในมุมมองของคำว่า ‘ถ้าเกิดว่า’ ยกตัวอย่างบุคคลที่สะดุดตาอย่างไซม่อน “การที่วางบุคคลไว้บนยอดพีรามิด เหมือนกับการวางคนผิวดำไว้ในจุดที่ดีขึ้น มันจะทำให้บุคคลนั้นมีอิทธิพลที่กว้างขึ้นและขยายความเป็นไปได้ออกไปเรื่อยๆ และมันก็เป็นไปได้กับตัวละครผิวสี ที่วางไว้เพื่อให้คนรัก ให้คนหลงใหล และดูดีมีฐานะมากขึ้น และมันจะเป็นไปได้มากขึ้นหากคุณมีบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างการปกครองประเทศ” ซึ่งก็หมายความว่า ซีรีส์เรื่องนี้ก็ชวนเราตั้งคำถามว่าหากเรายอมรับความหลากหลาย และลองให้คนเชื้อชาติอื่นขึ้นอยู่ในจุดสูงสุดนอกเหนือจากเจ้าอาณานิคม มันจะเกิดอะไรขึ้น และคำตอบก็คือการยอมรับความหลากหลายและให้โอกาสแก่ผู้คน
“ดูที่ราชินีของเราสิ ดูที่พระราชาของเราสิ มองดูการแต่งงานของพวกเขาสิ มองดูทุกสิ่งที่พวกเขาทำให้เรา ที่ทำให้เราได้เป็นอย่างทุกวันนี้” Lady Danbury ป้าแท้ๆของไซม่อน พูดถึงอิสระของเชื้อชาติจากการขึ้นครองราชย์ขององค์ราชินีและพระเจ้าจอร์จที่ 3
การขึ้นครองราชย์ของพระองค์นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนผิวสีในอังกฤษ เพราะเป็นสัญลักษณ์ว่า เขาก็สามารถเท่าเทียมกับกลุ่มคนชนชั้นอื่นๆ ได้เช่นกัน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีเสมอไป และการขึ้นครองราชย์ในครั้งนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้อย่าง 100% ในยุคนั้นยังมีแรงงานทาสผิวดำอยู่มาก เรื่องชนชั้นในยุคสมัยนั้นยังคงแบ่งเส้นกันอย่างชัดเจน
ไม่ว่าคนผิวดำจะมีบทบาทอย่างไร ในยุคสมัยไหน แต่ประเด็นสำคัญคือ คนผิวดำเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคน การตัดสินผู้คนด้วยสีผิวดูจะไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมนักในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนควรมองคนอย่างเท่าเทียมและอยู่ร่วมกัน เรื่องของความผิดถูกต้องขึ้นอยู่ที่การกระทำส่วนบุคคลมากกว่าสีผิว
หากใครอยากซึมลึกถึงวัฒนธรรมและความโรแมนติกเรื่องนี้ขอเก็บไว้ในเป็นลิสต์น่าดูของปี ค.ศ.2021 ได้เลย หนังยังได้แทรกเรื่องราวต่างๆ ให้เราได้เก็บไปคิดถึงความเป็นจริงของสังคมที่ไม่ค่อยรื่นรมย์นักในสังคมผู้ดี เพราะคำว่า ‘ผู้ดีอังกฤษ’ หลายคนก็จะนึกถึงความหรูหรา ระยิบระยับ งานเลี้ยงน้ำชา และการแต่งกายด้วยชุดฟูฟ่องหรูหรา แต่เรื่องนี้ได้ตีแผ่ถึงความมืดมนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมที่ดูสะดวกสบายขนาดไหนคุณก็ยังต้องดิ้นรน แข่งขัน ยอมเสียศักดิ์ศรีไปบ้าง และทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับสปอตไลท์ เพราะการเปลี่ยนผ่านของสังคมมันไม่เคยปรานีผู้ที่อ่อนแอกว่าและผู้ที่ไว้ใจที่สุดอาจเป็นผู้ที่ทำให้เราเจ็บที่สุด
อ้างอิงข้อมูลจาก