จำได้ว่าช่วงก่อนเดินทางไปฮ่องกง ข่าวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มมีกระแสขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่จับตามองมากนัก เราเองก็ยังเฉยๆ กับเรื่องนี้ มีเตรียมหน้ากากอนามัยไปเผื่อบ้าง แต่ตอนนั้นก็อยู่ในช่วงที่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์ประท้วงมากกว่าโรคระบาดรึเปล่า
ช่วงที่เดินทางเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนพอดี ทำให้คนจีนเริ่มเดินทางเพื่อกลับบ้านกันมากขึ้น ที่สนามบินนานาชาติฮ่องกง มีการตรวจวัดไข้สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าพื้นที่ คนในสนามบินสวมหน้ากากอนามัยกันแทบทุกคน ซึ่งค่อนข้างเป็นภาพที่แตกต่างจากตอนเดินทางออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ และนั่นทำให้เราเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมานิดๆ เมื่อถึงสถานที่จริง
ฮ่องกงเป็นประเทศเคยมีบทเรียนเรื่องซาร์สในหลายสิบปีก่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่นี่รวมถึงรัฐบาลมีการเฝ้าระวังและประกาศเตือนเป็นระยะ ความบังเอิญของเราคือโรงแรมที่เราพักอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่เคยเป็นแหล่งต้นเชื้อของโรคซาร์สในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้นด้วย (อ่านเรื่องโรคซาร์สเพิ่มเติม) ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปอีก แต่ในเวลานั้นเราก็ยังคิดว่าตัวเองปลอดภัยดีและเดินเที่ยวเล่นตามปกติ
ในวันที่เรามาถึงเป็นวันแรกคือช่วงของ ‘วันจ่าย’ ในเทศกาลตรุษจีน ผู้คนจะออกมาซื้อของเพื่อเตรียมสำหรับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น อย่างสถานที่ที่เราได้มีโอกาสไปเห็นในช่วงนี้คือตลาดดอกไม้ที่คนฮ่องกงจะออกมาซื้อดอกไม้ไปประดับประดาบ้านเรือนเพราะมีความเชื่อว่าการตกแต่งด้วยดอกไม้ที่เบ่งบานจะนำความอุดมสมบูรณ์มาให้ ซึ่งที่ตลาดนี้มีดอกไม้หลากหลาย แต่ที่เห็นหลักๆ คือต้นพลัมที่กำลังแตกดอกสีชมพูเข้มสวยงาม นอกจากนี้ก็มีดอกไม้หลากสีสันทั้งดอกกล้วยไม้ เบญจมาส กุหลาบ รวมไปถึงต้นส้มที่เราเห็นอยู่เสมอในแทบทุกสถานที่ ทุกประตูบ้านของที่นี่ก็มีขายละลานตา
แน่นอนว่าตลาดที่นี่มีผู้คนมากมาย แต่สิ่งเราเห็นคือแทบจะทุกคนก็สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคระบาดที่เริ่มมีข่าวถี่ขึ้นเรื่อยๆ มีการเดากันว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนอาจยิ่งทำให้โรคระบาดแพร่กระจายได้ง่ายเพราะคนจีนจะออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ และทำให้การควบคุมโรคให้อยู่ในพื้นที่เป็นไปได้ยาก ไหนจะการแสดงอากาศที่ต้องรอ 2-14 วัน ทำให้การควบคุมยิ่งยากขึ้นไปอีก
ซึ่งก็นับว่าแต่ละคนก็รู้ตัวกับการป้องกันนี้ดี นอกจากนี้อีกสิ่งที่เห็นได้คือการที่พื้นที่สาธารณะแทบทุกแห่งจะตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือไว้บริเวณทางเข้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ โรงแรม ร้านอาหาร แถมบางแห่งก็ตั้งเป็นเครื่องพ่นแอลกอฮอล์อัตโนมัติถาวร ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือบ่อยๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะกับคนขี้กลัวอย่างเราไม่น้อย
ช่วงที่เราไป ฮ่องกงกำลังมีแคมเปญ Hong Kong is On ซึ่งร้านค้าและห้างสรรพสินค้ารวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งก็มีโปรโมชั่นแจกกันถล่มทลาย ทำให้ผู้คนออกมาช้อปปิ้งกันเยอะด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นความรู้สึกก่ำกึ่งกับการที่ผู้คนออกมากันเยอะ แต่ก็ยังไม่ได้ตื่นตระหนกมากเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าคนที่นี่รู้จักป้องกันตัวเองกันประมาณหนึ่ง
เข้าสู่วันที่ 2 ข่าวการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้การเดินทางครั้งนี้เริ่มน่ากังวลมากขึ้น การดูแลตัวเองให้ไม่ป่วยในช่วงนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญแม้จะต้องสู้กับสภาพอากาศที่ฝนตกและหนาวเย็นลง แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนที่ออกมาเดินอยู่บนท้องถนนก็ยังคงใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ว่าก็มีการป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัยกันอยู่แทบทุกคนที่ฉันเดินผ่าน
ในวันนั้นเรายังคงตามข่าวเป็นระยะ โดยมีข่าวผู้ติดเชื้อไวรัสในฮ่องกง 5 ราย ส่วนการตามข่าวที่ไทยก็เห็นว่าคนเริ่มตื่นตัวขึ้นเพราะที่ไทยเองก็มีข่าวเจอคนติดไวรัสนี้เช่นกัน ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้กำลังจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
วันที่ 3 ของการเดินทางของเรา และเป็นวันที่เรามีแพลนจะไปร่วมงานเทศกาลตรุษจีนของที่นี่ แต่แล้วทางการฮ่องกงประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่เป็น ‘ภาวะฉุกเฉิน’ ทุกอย่างดูตึงเครียดมากขึ้น มีการระงับการเดินทางจากคนที่เดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านรถไฟ สายการบินที่มาจากอู่ฮั่นถูกระงับทุกเที่ยวบิน งานเทศกาลตรุษจีนที่จะจัดขึ้นที่ West Kaoloon ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานเทศกาลใหญ่ของที่นี่ ถูกยกเลิกกะทันหันในวันนั้นทันทีเนื่องจากทางการฮ่องกงไม่ต้องการให้ผู้คนมารวมตัวกันอยู่ในที่ที่เดียว ซึ่งเป็นอาจทำให้การแพร่ระบาดยิ่งหนักขึ้น
นอกจากนี้งานมาราธอนที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้าก็ถูกระงับด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นวันตรุษจีนทำให้ที่วัดหวังไทซิน ซึ่งเป็นวัดขึ้นชื่อและเก่าแก่ของฮ่องกงยังคงเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล ผู้คนแห่แหนกันมาไหว้พระขอพรวันปีใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการเองก็ไม่สามารถห้ามได้เพราะเป็นความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน
การประกาศยกเลิกงานใหญ่แบบนี้ย่อมส่งผลต่อเงินที่ลงทุนลงแรงไปแน่นอน แต่ทางการฮ่องกงมองถึงความปลอดภัยของผู้คนมากกว่าการดึงดันจะหาเงินให้เมืองของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่จัดการได้ดีและเด็ดขาดมากจนรู้สึกชื่นชมถึงการเห็นความปลอดภัยของประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง
หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 4 ก็มีประกาศในช่วงเช้าว่าสวนสนุกทั้ง ดิสนีย์แลนด์ และ Ocean Park สวนสนุกเก่าแก่ของที่นี่ ประกาศปิดแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ ซึ่งจะว่าน่าเศร้าก็ใช่ (ก็เศร้ามากๆ อยู่) เพราะดิสนีย์แลนด์เป็นความตั้งใจในทริปนี้ของเรา แต่ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี และเป็นการจัดการที่ดีแม้จะเสียประโยชน์ทางธุรกิจก็ตาม
วันนั้นเราเลยขึ้นไปยังบนเขา Lantau กันในอุณหภูมิที่ลดต่ำเหลือ 13 องศาเซลเซียสแทน ผู้คนบางตา ไม่หนาแน่นมากนัก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการมาชมวิวและขึ้นกระเช้า (ซึ่งก็ถูกบดบังไปด้วยหยดน้ำฝนและหมอก)
วันที่ 5 เป็นวันสุดท้ายที่เราอยู่ในฮ่องกง เนื่องจากยังเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนด้วย ร้านค้าหลายร้านปิดทำการ ผู้คนชาวฮ่องกงก็ออกมาสัญจรข้างนอกกันน้อยลง ส่วนใหญ่มักเป็นนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า บนรถไฟฟ้าเองก็ไม่ได้มีคนหนาแน่นมากเท่าที่คิด
เราเดินทางกลับถึงไทยประมาณเที่ยงคืน และเดินผ่านตม.มาได้อย่างง่ายดาย ไม่มีการตรวจเช็คอะไรเป็นพิเศษ แตกต่างจากตอนที่เราเข้าไปยังฮ่องกง ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ แต่ก็คิดเอาเองว่าคงมีกล้องตรวจจับความร้อนส่องอยู่ทีไ่หนสักแห่งเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจว่าทางการไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจรึเปล่า
ท้ายที่สุดแล้ว จากการได้ลองเดินทางไปในช่วงที่เกิดวิกฤตที่ประเทศอื่น จากเมืองที่มีบทเรียนในอดีต ทำให้พวกเขาเรียนรู้และมีมาตรการป้องกันที่ดี รัฐยังหาวิถีทางที่จะป้องกันแม้พื้นที่จะใกล้กับแหล่งกำเนิดแค่ไหนก็ตาม รวมถึงประชาชนเองก็พร้อมหาวิธีป้องกันตัวทั้งสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ การแพร่ระบาดของไวรัสยังคงน่ากังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ว่าความปลอดภัยของที่นี่ทำให้คุณค่าของชีวิตเรายังมีความหมายอยู่บ้าง
เพราะจนตอนนี้เราก็ยังสบายดีอยู่นะ…