หากพูดถึงภาพยนตร์ระทึกขวัญไทยในช่วงหลัง หลายคนมีภาพจำเป็น ‘ผีตลก’ หรือไม่ก็ ‘ผีตุ้งแช่‘ จนรู้สึกว่าไม่มีอะไรใหม่ คนทำหนังเองก็พยายามหาวิธีเล่า และนำเสนอความน่ากลัวในมิติที่แตกต่างออกไป เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมอย่างเราๆ
‘วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง’ คือหนึ่งในผู้กำกับหนังไทยสไตล์โดดเด่นที่ผลงานมักถูกคนดูนำมาเชื่อมโยงกับสังคมเสมอ ล่าสุด เขากลับมาพร้อมกับ ‘สิงสู่’ หนังเรื่องใหม่ที่เขาอยากทดลองสร้างความระทึกขวัญแบบที่ไม่ต้องพึ่งเทคนิคพิเศษ แต่อาศัยศักยภาพของนักแสดงเป็นหลัก
The MATTER ชวนวิศิษฏ์คุยถึงที่มาที่ไปของหนัง ที่ได้แรงบันดาลจากกระแสทรงเจ้าเข้าผีในสังคม การใช้อำนาจจากความไม่รู้ของคน การต่อสู้ระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงคำถามที่ว่า ผีอะไรที่กำลังสิงสังคมไทยของเราอยู่ตอนนี้
หนังเรื่อง ‘สิงสู่’ เป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อย
‘สิงสู่’ เป็นหนังผีเกี่ยวกับวิญญาณที่จะเข้าไปสู่ร่างคน แล้วพยายามยึดร่างของคนคนนั้น เมื่อเข้าไปแล้วส่งผลให้คนเปลี่ยนจนอาจจะทำเรื่องผิดมนุษย์ เราบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน ในร่างใคร ซ้ายหรือขวา เราป้องกันยากเพราะมันจู่โจมตรงไหนก็ได้ ผมว่าการมองไม่เห็นนี่แหละที่มันน่ากลัว
หนังผีคนก็ทำมาหลายร้อยแบบ คอนเทนต์ก็ซ้ำกันพอสมควร คนดูเขาก็บ่นว่าผีอีกแล้ว แต่ถ้าดูละเอียดๆ มันจะแตกต่างกัน อย่างของเราเป็นหนังผีที่ไม่เห็นผีเลย สิ่งที่เห็นคือความน่ากลัวจากคน และวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมันเข้ามาใช้ร่างคน เราถึงจะเห็นการกระทำของมัน ฉะนั้นเราก็พยายามหามุมมองใหม่ๆ เพื่อให้คนรู้สึกว่ายังดูหนังแนวนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ
ทำไมคุณถึงสนใจสิ่งเหนือธรรมชาติในมิตินี้
ถ้าพูดถึงความแปลกใหม่ มันก็ไม่ได้ใหม่มาก เพราะ The Exorcist (1973) ก็ทำมาตั้งหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามันเกิดปรากฏการณ์ทรงเจ้าเข้าผีเยอะมากเลยเริ่มสนใจ พอไปศึกษาก็พบว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแสดงทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่การเข้าสู่ร่างแล้วเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็เหมือนการสวมบทบาท ฉะนั้นมันสนุกตรงที่เราตีความตรงนี้ได้ เลยเอามาทำเป็นหนังที่พึ่งการแสดงดีๆ อย่างเดียว ไม่ต้องพึ่งเทคนิคพิเศษ ทดลองดูว่าจะทำให้น่ากลัวเทียบเท่ากับหนังที่ใช้เอฟเฟกต์ได้หรือเปล่า
เรื่องพวกนี้เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว ผมมองว่าเป็นเรื่องของการใช้อำนาจจากความไม่รู้ของคน สมัยโบราณคนไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่รู้ว่าฟ้าผ่าคือปรากฏการณ์ธรรมชาติ คิดว่าเป็นเรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องของพระเจ้า ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มองเห็นช่องว่างตรงนี้ จึงเสนอตัวมาเป็นผู้ติดต่อหรือตัวกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ด้วยความไม่รู้คนทั่วไปเขาก็เชื่อ จนทุกวันนี้เรื่องเหล่านั้นก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีพระเจ้าอะไร แต่ว่าคนก็ยังเชื่ออยู่ ทุกอย่างที่เราอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์มันน่ากลัวเสมอ
คิดว่าผีสิงมีจริงไหม
ถ้าถามว่าจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้ แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกัน การสิงก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ยกตัวอย่างได้ แต่ก่อนผมเรียนที่ช่างศิลป์ ทุกปีจะมีเด็กนาฏศิลป์โดนยายแก่ที่ไหนไม่รู้มาเข้าสิงโดยเฉพาะเวลาไหว้ครู ครอบครู พูดเป็นเสียงคนแก่เลย ผมเห็นกับตา แต่ไม่รู้ว่าเขาแสดงหรือเปล่า
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องที่ได้ยินบ่อย คือเรื่องเด็กระลึกชาติได้ เขาบอกได้หมดเลยนะว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิด ถ้าพยายามอธิบายความคิดชุดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นความทรงจำของคนที่ตายไปแล้วล่องลอยไปมา บังเอิญเด็กคนนี้ดันจูนติดเลยรับเข้ามาพอดี กลายเป็น memory ของเด็กไป ส่วนใหญ่ความทรงจำนั้นก็อยู่ไม่นาน โตไปก็ค่อยๆ ลืม เพราะสมองเด็กอาจยังบริสุทธิ์อยู่
ผมมองว่าเรื่องวิญญาณก็คล้ายๆ พลังงานแหละ ร่างกายเราขับเคลื่อนด้วยพลังงาน ภาษาพุทธเขาเรียก ‘กายหยาบ’ กับ ‘กายทิพย์’ เมื่อร่างกายเราพังทลายไป พลังงานยังหลงเหลืออยู่ นักวิทยาศาสตร์เขาก็พยายามคิดค้นวิธีเก็บความทรงจำของคนตายไว้ในฮาร์ดดิสก์ ผมคิดว่าวิญญาณก็คงเป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล
คิดยังไงกับการหากินจากความไม่รู้ของคน
‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ วาทกรรมนี้ใช้ได้ผล ฉะนั้นการที่วิญญาณเข้าไปสิงร่างใครสักคน ผมมองว่ามันไม่ใช่วิทยาศาสตร์จริง เขาเรียกวิทยาศาสตร์เทียม หรือ ‘ปรจิตวิทยา’ คือการพยายามอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์วิทยาศาสตร์เลยไม่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ร้อยครั้งต้องเป็นอย่างนั้นร้อยครั้ง เลยเป็นวิชาที่เขาเรียกกันว่า วิชาทางเลือก ไม่ใช่วิชาหลัก แต่ก็มีคนศึกษาเรื่องนี้เยอะ
นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียนจบด็อกเตอร์มาก็ยังไปเชื่อเรื่องนี้ได้ เขาอาจจะรู้สึกมั่นใจเวลามีอะไรยึดเหนี่ยว มันเป็นเรื่องความปลอดภัยหรือความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจมากกว่า หลายคนพูดว่า ก็ไม่เสียหลายเชื่อไว้ก่อน เขารู้สึกว่าถ้าไม่เชื่อสิ อาจจะเป็นอันตรายก็ได้ มันคือการเล่นกับความกลัวของสิ่งที่เราไม่รู้จักมัน
‘ไม่เชื่ออย่าลบหลู่’ คืออะไรในความหมายของคุณ
ก็เป็นวาทกรรมของคนประเภทที่อยู่ๆ ก็เสนอตัวเป็นตัวกลาง ติดต่อกับพระเจ้าหรือวิญญาณในโลกคนตาย เขาสร้างประโยคนี้มาเพื่อป้องกันการตรวจสอบ ผมคิดว่าคนพวกนี้ฉลาดที่เล่นกับความไม่รู้ของคน บางทีตัวเองก็ไม่รู้นะแต่กล้าเล่น เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่มีคนรู้หรือพยายามจะพิสูจน์ เขาก็จะเสียสถานะของการเป็นตัวกลางตรงนั้นไป
สมัยนึงวิทยาศาสตร์พยายามพิสูจน์เรื่องที่มันไม่จริง ก็ถูกอำนาจของคนพวกนี้ทารุณกรรม อย่างกรณีกาลิเลโอบอกว่าโลกกลมและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลก็โดนจับขังคุก นั่นคือยุคที่ศาสนจักรเป็นใหญ่ ห้ามตรวจสอบ ต้องเชื่อในคัมภีร์เท่านั้น สิ่งพระเจ้าบอกยังไงก็ต้องเชื่อ ทุกอย่างสามารถชี้เป็นชี้ตายและกระทั่งทำให้เกิดสงครามครูเสดได้ มันเกิดจากคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามรักษาอำนาจตัวเองไว้ เขารู้ว่าถ้ามีใครลุกขึ้นมาตรวจสอบเมื่อไหร่คนก็จะรู้ความจริง แต่วิทยาศาสตร์พยายามต่อสู้มาตลอด จนวันนึงวิทยาศาสตร์ชนะ ไสยศาสตร์จึงถูกลดลงไปกลายเป็นศาสตร์ทางเลือก
สิ่งเหล่านี้ส่งผลยังไงต่อสังคมบ้านเราบ้าง
เรื่องพวกนี้มีผลกับสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้แต่เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีก็ตาม ต่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศวิทยาศาสตร์แต่สิ่งนี้ยังเป็นเมนสตรีมอยู่ เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อ คนอยู่ในยุคอำนาจนิยมจนชิน พอวันที่เลิกทาสก็ร้องห่มร้องไห้ขอเจ้านายอยู่ต่อ เพราะเขาทำมาหากินอะไรไม่เป็น มีชีวิตที่ต้องพึ่งระบบอุปถัมภ์ เพราะฉะนั้นมันแก้ได้ยาก คงไม่ต้องไปแก้มัน มันจะอยู่กับเราไปจนยุคอวกาศ
หนังเรื่อง Martian เขาปลูกผักรอ ของเราไปตั้งศาลพระภูมิที่โน่นแล้วเอาเครื่องรางของขลังติดไปด้วย คือเราเชื่อของเรา แล้วก็ไม่เสียหลายและมีความสุขกันดี มันเป็นวิถีของคนไทยที่ไม่รู้หรอกว่าผิดหรือถูก แต่เราก็อยากจะตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้บ้าง
ระหว่าง ‘สิ่งเหนือธรรมชาติ’ กับ ‘วิทยาศาสตร์’ คุณวางตัวเองไว้ตรงไหน
เราโตมากับยุควิทยาศาสตร์ แต่พื้นฐานบ้านเราก็ไสยศาสตร์ ตั้งแต่เป็นคนจีนมีไหว้เจ้า มันอยู่ในเลือดเราจนไม่รู้ว่าเราไม่ไหว้ได้หรือเปล่า แต่หลังๆ นี่เลิกเชื่อ ยิ่งแก่ก็ยิ่งเริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะไม่จำเป็นหรือไม่มีอยู่จริง คนส่วนใหญ่ยิ่งแก่ยิ่งเชื่อนะ เพื่อนผมบางคนสมัยวัยรุ่นไม่เคยเชื่อ ไปลบหลู่ดูถูกเรื่องพวกนี้ บางคนเอาพระมากระทืบเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีอยู่จริง ตอนนี้เข้าวัดเข้าวากันหมด ถามว่าผมกล้าทำแบบที่เขาทำกันมั้ย พูดตรงๆ ผมก็ไม่มีความกล้าพอ
กลับไปที่เรื่องผีๆ สิงๆ การเข้าไปฝังรากหรือยึดวิญญาณของใครสักคนในความเห็นของคุณ มันสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับเจ้าของร่างทั้งในทางกายภาพและทางจิตใจยังไงบ้าง
สมมติว่าเมื่อก่อนตรงนี้มีขอม มอญ ละว้าอยู่ ผลัดเปลี่ยนกันไปมา อยู่มาวันหนึ่งเราขีดเส้นเขตแดนว่านี่คือประเทศไทย เราจะเห็นว่าชาวกะเหรี่ยงที่เขาอยู่มาตั้งแต่ดั้งเดิม อยู่ๆ ก็โดนเผาบ้านไล่ที่บอกให้ออกไป มึงไม่มีบัตรประชาชน เป็นคนต่างชาติ เหมือนกัน อยู่มาวันนึง ตรงนี้ที่ที่เราเคยมีเคยเป็นเจ้าของมันได้กลายเป็นของคนอื่น ส่วนเราถูกถีบออกไปเป็นคนเร่ร่อน
คนจีนอพยพเมื่อก่อนก็ถูกเรียกว่าต่างด้าว อยู่ไปอยู่มาเริ่มมีลูกมีหลานกลืนกับคนไทย ในกรุงเทพฯ นี่ 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจีนนะ แล้วคนจีนกลุ่มนี้ก็กลับมาด่าชาวโรฮิงญาต่อว่า “ไอ้พวกอพยพ ออกไปซะ” เมื่อไหร่ที่เราถูกทำให้เป็นคนอื่น เราก็จะเกิดความกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนถูกวิญญาณมายึดร่างไป กลายเป็นคนคนนั้นไปแล้ว ก็เริ่มมองคนอื่นเป็นวิญญาณต่อโดยลืมไปว่าปู่ย่าตายายเราก็เป็นพวกวิญญาณเร่ร่อน เป็นผู้อพยพมาก่อน
ถ้าเราศึกษายุคสงครามเย็นของเมืองนอก ยุคนั้นเป็นยุคที่หนังมนุษย์ต่างดาวฮิตมาก อย่างเรื่อง Invasion of the Body Snatchers (1978) ก็คือมนุษย์ต่างดาวมายึดร่างคน แล้วกลายเป็นคนคนนั้น แต่ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้วเพราะวิธีเดินเหินเปลี่ยนไปเลย
ยุคนั้นเขากลัวเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ฝังหัว อเมริกาก็กลัว เลยแสดงออกด้วยหนังแบบนี้ ดาวอังคารบุกมาโจมตีคือยุคนั้นหมดเลย ความรู้สึกของผู้ถูกบุกรุกก็คือพวกต่างด้าวในสายตาเขา คำว่าต่างด้าวกับมนุษย์ต่างดาวมันคำเดียวกัน ฝรั่งมองเป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาว ของไทยเราก็มองเป็นเรื่องผี
คุณคิดว่าผีหรือวิญญาณแบบไหนที่กำลังสิงสู่สังคมไทยอยู่ตอนนี้
เราถูกอำนาจอะไรบางอย่างสิงอยู่ เคลื่อนไหวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาตไปครึ่งหนึ่ง กำลังอยู่ในช่วงของการตัดสินใจว่า จะสะบัดผีตัวนั้นให้หลุดออกไป หรือจะปล่อยให้มันยึดร่างเราไปเลย
บางคนอาจจะคิดว่าก็สงบดี ได้นอนสงบๆ แต่นี่คือสภาวะของสังคม จริงๆ เผด็จการก็คือผีที่ไม่ไปไหน ไล่ไม่ไป เคยไล่ไปทีนึงแล้ว ใส่หม้อถ่วงน้ำหม้อก็แตกกลับมาได้อีก มันเป็นพวกผีอมตะกลับมาได้ทุกครั้ง เพราะเรายังมีความกลัวกันอยู่ เพราะมีคนแบบนี้ วิญญาณเลยชอบ วิญญาณมันเล่นกับความกลัว พอได้กลิ่นความกลัวเลยรู้ว่าจะจู่โจมใคร เรายิ่งกลัวมันยิ่งมา ฉะนั้นเราต้องกล้าสู้กับมัน แต่ผมก็ไม่ค่อยกล้านะ
ระบบอำนาจนิยมประสบความสำเร็จและฝังรากลึก เขาทำเป็นระบบและเหนียวแน่น ความเชื่อเขาไม่เปลี่ยนแต่เขาเปลี่ยนยุทธวิธี ถ้าเป็นผีก็เป็นผีที่มีพัฒนาการ สิงไปเรื่อยๆ และผลัดเปลี่ยนรุ่น ซึ่งผีรุ่นใหม่ก็น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเราควรจะจัดการผีตัวนี้ยังไงดี
ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ไม่ยาก เราก็ต้องไล่มันไป แต่ในสังคมมันบอกไม่ได้เพราะไม่ใช่บ้านเราคนเดียว เราไล่มันไป อีกคนบอกมันคนดี เผลอๆ มันไล่เราออกด้วยซ้ำ มันบอกมึงแหละออกไป เรากลายเป็นพวกไม่ได้รับเชิญแทน ในสังคมมันเป็นที่ส่วนรวม เป็นพื้นที่ที่คนจะแสดงความคิดเห็น ผมไม่ได้บอกว่าคนเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ เพียงแต่ว่าเราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปกะเกณฑ์ให้คนอื่นคิดเหมือนเรา
ผมไม่ได้มีปัญหากับคนที่คิดไม่เหมือนผม เพื่อนผมก็ทัศนคติทางการเมืองไม่เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกับเขาได้ ทุกวันนี้ผมก็ทำงานกับคนพวกนี้เยอะแยะ คนนิสัยดีก็คือคนนิสัยดี คนฝั่งประชาธิปไตยนิสัยแย่ก็มีมาก เท่าที่ผมเจอมันไม่เกี่ยวเลย คนละประเด็น
อะไรคืออุปสรรคในการพูดถึงเหตุบ้านการเมืองในหนังไทยยุคนี้
มันเป็นอุปสรรคมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะยุคนี้ แค่พูดถึงชีวิตของชาวนาก็ห้ามฉายแล้ว ชนชั้นปกครองไม่อยากให้ตั้งคำถามไม่ว่าคำถามด้านไหน ให้เชื่อตามนั้น ถ้าใครที่เชื่อตามนั้นก็จะมีชีวิตที่สงบสุข ถ้าใครลุกขึ้นมาตั้งคำถามก็จะโดนจับ โดนไล่ล่าจนต้องหนีเข้าป่า
ปัจจุบันดูเหมือนเสรีภาพมันเบ่งบาน แต่ไม่มีใครกล้าทำ แทบไม่มีหนังไทยเกี่ยวกับการเมืองเลย ต้องตีความซ่อนนัยจนดูไม่รู้เรื่อง เผด็จการมาดูก็ไม่รู้เรื่อง เลยยังไม่มีหนังการเมืองจริงๆ จังๆ ที่เล่าเรื่องตรงๆ
สังคมไทยอาจจะไม่รับด้วย เมื่อไหร่ดูหนังเราอยากจะบันเทิง กระทั่งหนังฆาตกรรมบางเรื่องเขาก็ไม่ดูนะ เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเครียด ต้องใช้สมอง ใครเป็นฆาตกร เลยคิดว่าหนังไม่ใช่สื่อที่จะส่งผ่านเรื่องพวกนี้ได้ดีนักในบ้านเรา
ยังมีประเด็นทางสังคมอื่นๆ อีกมั้ยที่อยากเอามาเล่าเป็นหนัง
อยากจะทำพวกตำนานพื้นบ้านหรือตำนานบางอย่างที่มันอธิบายด้วยโลกวันนี้ได้ เคยได้ยินว่าพระนเรศวรเห็นพระอังคารมาวนรอบกองทัพ 3 รอบ แล้วทัพจะมีชัย ถ้าตีความจากคนสมัยนี้ อาจจะเป็นจานบินหรือเปล่า เพียงแต่คนสมัยก่อนไม่รู้จัก เขาอาจจะคิดว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งหลายครั้งผมเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวอาจเคยมาเมืองไทยนะ แต่คนไทยเห็นเป็นอะไรก็ขอหวยไปหมด มนุษย์ต่างดาวคงเซ็งเลยไม่อยากมา
เรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ก็อยากทำมาก ถ้าไม่ใช่อย่างที่เราเรียนมาล่ะ เกิดเขาถูกใส่ร้าย เพราะเราก็เคยเห็นจากอดีตที่ผ่านมา ใส่ร้ายกันจนฉิบหายวายป่วง เพราะสุดท้ายคนชนะก็คือคนเขียนประวัติศาสตร์ ก็ใส่ความท้าวศรีสุดาจันทร์ น่าสงสารมั้ย ไม่ได้ทำอะไรก็โดนฆ่า ถูกชิงบัลลังก์โดนประนามไปชั่วลูกชั่วหลาน มันทุกข์นะ ถ้าเป็นวิญญาณก็คงเป็นวิญญาณที่ตายไม่สงบ