หลังจากตั้งหน้าตั้งตารอคอยมานานหลายเดือน เหล่าแฟนเพลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) หรือที่เรียกกันว่า สวิฟตี้ ก็ได้ชื่นใจกันสักที เมื่ออัลบัมใหม่ ‘The Tortured Poets Department’ ได้ปล่อยให้ฟังกันแล้ว
เรียกว่าสร้างกระแสโด่งดังไปทั่วโลก ภายในเวลา 24 ชั่วโมงเพลงของอัลบัมนี้ถูกสตรีมไปกว่า 313.7 ล้านครั้ง ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวอัลบัมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนแพลตฟอร์ม Spotify เลยทีเดียว
สำหรับใครที่ยังไม่เคยฟัง สามารถลองค้นหาฟังกันได้ระหว่างอ่านบทความนี้ไปด้วยได้นะ
อะไรที่ทำให้เหล่าสวิฟตี้ชื่นชอบบทเพลงของสวิฟต์มากขนาดนี้?
ในมุมของประสาทวิทยาศาสตร์ แน่นอนการฟังเพลงกระตุ้นระบบการให้รางวัลในสมอง ทำให้เกิดการปลดปล่อยสารสื่อประสาทโดปามีน กระตุ้นความรู้สึกของเราระหว่างเสียงดนตรีขับกล่อม
ลินด์ซีย์ ฮัลลาเดย์ (Lindsay Halladay) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ประสาทและจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยซานตาคลารา (Santa Clara University) บอกว่า “เรารู้ว่าดนตรีมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับอารมณ์ด้วยเหตุผลหลายประการ จังหวะของดนตรีสามารถปรับการแกว่งของคลื่นสมองได้ มันสามารถเปลี่ยนวิธีการสื่อสารของสมองทั้งหมด”
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นหลังจากฟังดนตรีที่มีจังหวะสนุกสนาน หรือผ่อนคลายหลังจากฟังบีโธเฟนในช่วงเวลาก่อนนอน
แต่คำอธิบายนี้ก็ยังไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมเพลงของสวิฟต์ถึงสามารถแตะและครอบครองหัวใจของเหล่าสวิฟตี้ได้มากขนาดนี้
แองเจล่า ฮาปต์ (Angela Haupt) บรรณาธิการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสื่อชื่อดังอย่าง TIME ได้นำเรื่องนี้ไปสอบถามนักจิตวิทยาเพื่อหาคำตอบว่าทำไมบทเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ถึงโดนใจผู้ฟังขนาดนี้
- บทเพลงของเธอเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เราทุกคนล้วนเคยผ่านมาก่อน
ในปีที่แล้วระหว่างที่การทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลก มหาวิทยาลัยเท็กซัสคริสเตียนก็เปิดสอนคลาสวิชา
‘Psychology (Taylor’s Version)’ (จิตวิทยา (เวอร์ชั่นเทย์เลอร์)) สอนโดย นาโอมี เอคาส (Naomi Ekas) นักจิตวิทยาการพัฒนา (developmental psychologist) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักเรียนของมหาวิทยาลัย
เอคาสกล่าวว่า “เราจะนำหัวข้อและแนวคิดต่างๆ จากเพลงหรือชีวิตของเธอ และประยุกต์ใช้มุมมองด้านการพัฒนากับมัน” ตัวอย่างเช่น ประเด็นการนอกใจ การแก้แค้น ความหลงใหล ความรัก การสูญเสีย และการเลิกรา แล้วใช้มันเพื่อโยงเข้าไปสู่บทเรียนในห้อง
ฮาปต์เล่าว่าครั้งหนึ่งตอนที่เอคาสพูดถึงเนื้อเพลง ‘Marjorie’ ที่เล่าถึงการสูญเสียคุณยาย สิ่งที่เธอควรทำ ควรถาม ควรเรียนรู้มากมายระหว่างที่คุณยายของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
นักเรียนกว่า 120 คนเริ่มร้องไห้จนแทบจะเรียนกันต่อไม่ไหว เพราะคิดถึงประสบการณ์ของตัวเอง และขอเวลานอกเพื่อส่งข้อความหาคุณยาย แม่ หรือ พ่อของพวกเขา
“เราทุกคนล้วนเคยผ่านการสูญเสียมาทั้งสิ้น เราทุกคนเคยมีเพื่อนที่ทำให้เราเจ็บปวด และเราอยากจะแก้แค้น เราทุกคนเคยตกหลุมรัก เราทุกคนเคยสูญเสียมันไป” เอคาสกล่าว
การรู้ว่าสวิฟต์รู้สึกเหมือนที่เรารู้สึกนั้น คือสิ่งที่ช่วยรับรองอารมณ์ความรู้สึกของเราด้วย ทำให้คนฟังรู้สึกว่ามันโอเคที่จะมีความเสียใจหรือความปิติยินดีที่เรารู้สึกอยู่ตรงนี้
“นี่คือความโดดเด่นของความเป็นสากลของเพลงของสวิฟต์” ฮาปต์อธิบาย
- เนื้อเพลงที่กินใจเพราะมันกระตุ้นอารมณ์
บทเพลงที่เราจำขึ้นใจ ไม่เพียงแต่เพราะมันไพเราะเท่านั้น แต่เพราะเนื้อเพลงมันกระตุ้นอารมณ์บางอย่างจนสร้างประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ ข้างใน
อาจจะเป็นความโกรธ ความคิดถึง ความแค้น ความโศกเศร้าเสียใจ ความรัก ความหดหู่ ฯลฯ
ฮัลลาเดย์บอกว่า “อารมณ์ที่แรงกล้าสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการประมวลผลความทรงจำได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เชิงบวกหรือลบ มันส่งผลต่อวิธีการจัดเก็บข้อมูลของสมองเรา”
ถ้าถามว่าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนเราทานอะไรเป็นมื้อกลางวัน? คนส่วนใหญ่ตอบไม่ได้ ถ้ามันไม่ใช่เหตุการณ์อะไรสำคัญ สมองก็แทบจะลบความทรงจำนั้นไปเลยแทบจะทันที
แต่สถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นหรือมีอารมณ์ร่วมเยอะๆ เรากลับจดจำได้อย่างแม่นยำ
“เราต้องการจดจำข้อมูลเหล่านั้น และสมองของเราก็ทำได้ดีมากเมื่อได้รับการบอกว่าควรทำอย่างนั้น” ฮัลลาเดย์กล่าว
ซึ่งเนื้อเพลงของสวิฟต์ก็มักกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ข้างใน ทำให้เราอินไปกับมันได้ไม่ยาก หากมันไปสะกิดโดนอะไรบางอย่างเข้า
- เธอกล้าที่จะแสดงความเปราะบางของตัวเอง แสดงให้เห็นความเป็นมนุษย์ และเราก็สามารถเชื่อมโยงกับมันได้
เนื้อเพลงของสวิฟต์ส่วนใหญ่มาจากเรื่องราวชีวิตของเธอ สิ่งที่ได้เจอ ประสบการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ความท้าทายที่ต้องเจอ การเอาชนะความยากลำบากในชีวิต ความล้มเหลวต่างๆ นานา
เธอกล้าที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ทุกคนฟัง เป็นการแสดงให้เห็นภาพของผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งก็เหมือนกับเราทุกคน
ความกล้าที่จะเปิดเผยด้านที่อ่อนไหวของตัวเองนี่เองที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อมโยงกับบทเพลงของเธอได้เป็นอย่างดี
นาโอมี ตอร์เรส-แมคคี (Naomi Torres-Mackie) นักจิตวิทยาจากโรงพยาบาลเลนอกซ์ฮิลล์ ในนิวยอร์กซิตี้เล่าว่า ผู้ป่วยที่เข้ามาปรึกษาพูดถึงสวิฟต์และบทเพลงของเธอในการรักษาบ่อยครั้ง บอกว่าบทเพลงเหล่านั้นช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น ทำให้อธิบายให้คนอื่นๆ ฟังได้ว่ากำลังประสบปัญหาอะไร
ประสบการณ์ที่สวิฟต์เล่าเอาไว้ในบทเพลงช่วยให้คนมากมายรู้สึกว่าสามารถต่อสู้และรับมือกับความท้าทายเหล่านั้นได้เช่นกัน
- บทเพลงของสวิฟต์ทำให้ผู้หญิงรู้สึกมีที่ยืนและมีตัวตน
แม้สังคมจะก้าวหน้าและประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศถือว่าดีขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ตอร์เรส-แมคคีชี้ให้เห็นว่าบรรทัดฐานของสังคมยังคงจำกัดและมองข้ามผู้หญิงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประสบการณ์ ความสนใจ ความต้องการ และความรู้สึก ซึ่งอาจถูกมองว่าไร้สาระหรือไม่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม ตอร์เรส-แมคคีอธิบายต่อว่าหนึ่งในความต้องการทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐานของเราคือการรู้สึกว่าตนเองมีตัวตน มีความสำคัญ และได้รับความเข้าใจ
“เพลงของสวิฟต์ให้ความรู้สึกแก่ผู้ฟังว่าผู้หญิงนั้นสามารถรู้สึกเศร้า โกรธ หรือสับสนได้นะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด ประสบการณ์ทางอารมณ์ใดๆ ก็ตามล้วนสำคัญทั้งสิ้น และควรค่าแก่การร้องมันออกมาเป็นบทเพลงด้วย”
ฮาปต์เสริมว่า “นอกจากนั้นแล้ว บทเพลงของสวิฟต์ยังทำให้เห็นหลายๆ มุมของชีวิตที่ผู้หญิงจะต้องเผชิญด้วย”
อย่างบทเพลง ‘Tolerate’ ที่พูดถึงภาระทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการดูแลผู้ชายและไม่เคยได้รับคำขอบคุณเลย
เคอร์รี แมคบรูม (Kerry McBroome) นักจิตวิทยาในบรูคลินกล่าวว่า “เธอไปแตะประสบการณ์เฉพาะของผู้หญิง ที่ถูกคาดหวังให้ทำงานที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับ ชื่นชม หรือได้รับรางวัลตอบแทน” แมคบรูมระลึกว่าเธอรู้สึกเจ็บปวดมากๆ ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงนี้ เพราะเข้าใจสิ่งที่สวิฟต์ร้องอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
- ความหมายของบทเพลงที่เป็นสากล ทำให้เชื่อมกับสวิฟตี้คนอื่นๆ ได้
อย่างที่ฮาปต์ได้กล่าวไปก่อนหน้าว่าแม้สวิฟต์จะเล่าประสบการณ์ของตัวเอง แต่บทเพลงของเธอมีความเป็นสากล พูดถึงความรู้สึก ประสบการณ์ต่างๆ ที่เราทุกคนต่างล้วนประสบกันมาทั้งสิ้น
สิ่งนี่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ใหญ่ขึ้น
กลุ่มที่เข้าใจว่าเรารู้สึกยังไง มีประสบการณ์เดียวกัน เศร้าเหมือนกัน รักเหมือนกัน อกหักเหมือนกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอีกเป็นล้านๆ บนโลกใบนี้
มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า ‘Sense of Belonging’ หรือ ความรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญ ไม่ใช่เราคนเดียวที่กำลังเผชิญเรื่องนี้อยู่ ไม่ใช่เราคนเดียวที่กำลังมีปัญหา เราสามารถผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันได้
เราคือคนหนึ่งที่มีบาดแผลจากประสบการณ์ชีวิต เหมือนคนอื่นอีกเป็นล้านๆ คนบนโลกใบนี้ ความรู้สึกที่เรากำลังเผชิญอยู่เป็นสิ่งที่มีค่า มีความหมาย และที่สำคัญสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ก็เหมือนกับที่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เคยผ่านมาด้วย
บทเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำให้คนฟังรู้สึกใกล้ชิด ผูกพัน และมีตัวตน
ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าความอ่อนไหวไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทุกความรู้สึกที่เรากำลังรู้สึกเป็นเรื่องที่โอเค ทำให้เรารู้ว่าเราก็มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมบทเพลงของเธอจึงโดนใจแฟนเพลงหลายล้านคนที่ฟังอยู่ในขณะนี้
อ้างอิงจาก