Ghost of Yotei (2025) คือเกมระดับ AAA ที่ผมตั้งตารอคอยมาตั้งแต่วันประกาศเปิดตัว ด้วยความที่ยังคงประทับใจกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เกมภาคก่อนอย่าง Ghost of Tsushima (2020) มอบให้ ความสนุกจากการได้กวัดแกว่งดาบคาตานะในสภาพแวดล้อมญี่ปุ่นที่สมจริงเป็นประสบการณ์อยากจะกลับไปสัมผัสอีกสักครั้ง
ในภาคใหม่เราจะได้รับบทเป็นตัวละครใหม่ ในไทม์ไลน์ที่ห่างไกลจากภาคแรกถึง 329 ปี แน่นอนสถานที่เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เหตุการณ์ใน Ghost of Yotei ปักหลักในปี 1603 ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็นตัวละครหญิงที่ชื่อ ‘อัตสึ’ เรื่องราวของเธอจัดว่าโชกโชนและโชกเลือดทีเดียว วัยเด็กอัตสึใช้ชีวิตอยู่ที่เอโซะ เกาะทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น กับพ่อ แม่ และแฝดชายชื่อ ‘จูเบ’
โศกนาฏกรรมเกิดกับครอบครัวของอัตสึ เมื่อ ‘ไซโตะ’ ตามมาคิดบัญชีพ่อของเธอที่โดนกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศ อัตสึถูกแทงและปล่อยให้ตายคาต้นกิงโกะที่กำลังลุกไหม้ แต่อัสซึกลับรอดมาได้ การสูญเสียครอบครัวพาชีวิตเธอระหกระเหินไปร่วมสงครามทางตอนใต้ของญี่ปุ่น หลังเวลาผ่านไปหลายปี อัสซึกลับมาที่เอโซะอีกครั้งเพื่อแก้แค้นหกสมาชิกแห่งกลุ่มโยเท (Yotei Six) รวมถึงไซโตะ ที่เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของเธอตาย

ขึ้นชื่อว่าเกมซีรีส์ Ghost of … เกมภาคใหม่ก็ไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม ตัวเกมพูดถึงการเป็นผีในเชิงสัญลักษณ์ของการกลับมาล้างแค้น ผีที่ยอมใช้ทุกวิถีทางแม้จะไร้เกียรติเพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งคือความตายของศัตรู การกลายเป็นผีของอัตสึเริ่มขึ้นเมื่อเธอพูดถึงเรื่องเล่าของแม่ “ก่อนแม่จะตาย ท่านเล่าเรื่องให้ฟังถึง ‘อนเรียว (怨霊)’ วิญญาณอาฆาตที่ร่อนแร่ไปทั่วดินแดน เสาะหาเพียงการแก้แค้น ในคืนที่ครอบครัวของข้าถูกสังหาร ข้าได้กลายเป็นวิญญาณนั้น”
Ghost of Yotei ผูกแนวทางการเล่นเกมให้กลมกลืนไปกับการเล่าเรื่องด้วยการวางตัวละครหลักให้เป็นผีแค้นในเรื่องเล่าของชาวบ้าน การเป็นผีคือการละทิ้งการต่อสู้ที่มีเกียรติแบบซึ่งหน้า ความเป็นอื่นที่ไม่ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นผู้หญิงที่จับดาบและต่อสู้เป็น เกมเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถลอบเร้นสังหารศัตรู มีอาวุธเล่นตุกติกเช่นระเบิดควัน เรียกหมาป่ามาช่วยสู้ และโหมดสกิลฆ่าล้างที่สร้างความขวัญผวาและฟันคนตายได้ในดาบเดียว หรือแม้กระทั่งความสามารถฟื้นตัวจากสภาพปางตาย คล้ายกับเป็นผีที่ไม่มีวันตายจริงๆ
จะว่าไปแล้ว ความเป็นผีเองในแง่หนึ่งก็มีอยู่ในฐานะตัวตนที่ต้องการวิจารณ์ระบบยุติธรรมของสังคม การเป็นผีที่กลับมาหลอกหลอนก็เป็นเหมือนการกลับมาเอาคืนหลังจากที่กฎเกณฑ์ของสังคมไม่สามารถมอบความยุติธรรมให้กับคนคนนั้นได้ ตรงนี้เองที่ Ghost of Yotei วางฉากหลังได้สอดคล้อง

เนื้อเรื่องของเกมมีความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่และเกาะเอโซะเป็นฉากหลัง ประชาชนอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างความต้องการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นกับการอยากปกครองด้วยความอิสระของคนในพื้นที่ ซึ่งไซโตะกล่าวว่าเขาคือตัวแทนคนที่อยากจะปกครองตัวเองอย่างอิสระ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนำไปสู่กฎระเบียบที่ไม่แน่นอน เกิดการปล้นชิงและฆ่าฟันไปทั่ว การเป็นผีของอัตสึจึงคล้ายกับศาลเตี้ยที่จะนำความยุติธรรมมาสู่ครอบครัวของเธอและชาวบ้านในเอโซะ
ถึงเกมจะวางให้ไซโตะเป็นตัวร้าย แต่เขาก็เป็นตัวร้ายที่พอจะมีหลักการและมีคนเชื่อถืออยู่ไม่น้อย ระหว่างทางเราจะได้ฟังเหตุผลของคนที่สนับสนุนไซโตะเป็นระยะๆ เสียดายที่เกมไม่ได้ต่อยอดและให้อิสระกับผู้เล่นให้ไปถึงจุดที่สามารถตัดสินใจเข้าร่วมกับไซโตะได้ อัตสึจะต้องเป็นผีที่ต่อต้านไซโตะ เป็นผีในกรอบศีลธรรม และอาจจะเป็นผีที่ยึดกับระเบียบของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่
ในแง่นี้อัตสึเองก็ไม่ได้เป็นผีที่เป็นอิสระนัก เธอถูกรั้งไว้ด้วยความแค้น และศีลธรรมที่ชั่งน้ำหนักแล้วว่าการกระทำของไซโตะนั้นเลวกว่า ส่วนที่เกมพอจะใช้เป็นเหตุสนับสนุนเหตุผลนี้คือการที่ชาวบ้านส่งของเซ่นไหว้ให้กับผีแห่งโยเทตนนี้ เพื่อบอกกลายๆ ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกแล้ว และชาวบ้านกำลังเอาใจช่วย

สำหรับเกมเมอร์ ความสนุกของเกมภาคนี้คืออาวุธที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามท้องเรื่องที่เครื่องมือในสงครามเริ่มวิวัฒนาการมาไกล หากประตูมีกลอน ในภาคนี้คนนครเอโซะก็มีปืน แถมมีทั้งปืนยาวปืนสั้น เกมมีลูกเล่นเพิ่มมาทั้งระเบิดทำลายล้าง ระเบิดควัน คุไน อาวุธเช่นหอก (ยาริ) และเคียวโซ่ผูกลูกตุ้ม (คูซาริกามะ) อีกทั้งอาวุธพวกนี้ยังไม่ได้มีไว้สับเปลี่ยนเล่นแก้เบื่อเท่ๆ อาวุธแต่ละชนิดต่างมีจุดเด่นและมีไว้ใช้แก้ทางอื่น เช่น คาตานะเดี่ยวจะได้เปรียบหอก เคียวโซ่สามารถทำลายโล่ของศัตรูได้ด้วยลูกตุ้ม ซึ่งง่ายกว่าใช้คาตานะคู่ร่ายรำแบบมั่วๆ เป็นไหนๆ ตรงนี้ถือเป็นจุดที่เกมพัฒนาออกมาให้ดีขึ้นจากภาคก่อนหน้า
สภาพแวดล้อมหรือทัศนียภาพของเกมก็ยังเป็นข้อดีข้อเดิมที่เหมือนจะเป็น comfort zone สำหรับผมไปแล้ว Ghost of Yotei มอบงานภาพที่งดงามหมดจด เกมพาผู้เล่นไปสัมผัสธรรมชาติของญี่ปุ่นได้ครบทั้งสี่ฤดู ไม่ว่าจะสีเหลืองอร่ามของต้นกิงโกะ แสงแดดจ้าที่สะท้อนบนดอกไม้ขาว สีของใบไม้ผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วง หรือหิมะหนาในตอนเหนือ

ความสุขอย่างหนึ่งของเกมซีรีส์ Ghost of … คือการได้ชื่นชมธรรมชาติที่เราอาจไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสจริงๆ ซึ่งพอได้เล่นแล้วก็ทำให้หายคิดถึงและอยากกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน เกมยังมอบความผ่อนคลายให้ผ่านการแช่บ่อน้ำร้อน พักตั้งแคมป์ วาดภาพ และปีนป่ายไปบนภูเขาเพื่อดูทิวทัศน์จากที่สูง กิจกรรมเหล่านี้คือตัวคั่นชั้นดีที่ทำให้เนื้อเรื่องหลักไม่ตึงเครียดจนเกินไป และด้วยลักษณะพิเศษของเกมโลกเปิด (open world) เกมไม่ได้เร่งเร้าให้เราทำอะไรก่อนหลัง เควสต์หลักสามารถพักไว้ได้ แล้วไปท่องเที่ยว ควบม้าชมบรรยากาศ และไล่ตามเจ้านกน้อยที่ไม่รู้จะพาเราไปพบเจอกับอะไร แต่คงไม่ใช่อะไรที่สลักสำคัญกับเนื้อเรื่องแน่ๆ
ความสนุกของ Ghost of Yotei ก็เป็นเช่นนี้ ในแง่พล็อตเรื่องและรูปแบบเกมก็อาจจะไม่ได้ต่างจากภาคก่อนเท่าไหร่นัก ความว้าวเช่นงานภาพที่เคยทำให้คนเคยพูดชมกัน ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเกมภาคใหม่เป็นกระแสอะไร เพราะเกมก็ยังรักษาคุณภาพได้ดีเช่นเคย แต่การที่เกมภาคต่อสามารถทำมาตรฐานไว้ได้และพัฒนาบางจุดให้ดีขึ้น ก็ถือว่าเพียงพอที่เกมนี้จะเป็นแหล่งพักใจให้ผู้เล่นได้หายเหนื่อยล้าจากความสาหัสในโลกจริง