“เราก็ต้องยอมรับก่อนว่ามันเป็นเรื่องของกระแสในตอนนี้ แต่สำหรับพวกเรา ฮิปฮอปมันไม่ใช่กระแส มันอยู่กับเรามาตลอด”
จากที่เคยเป็นแนวเพลงใต้ดิน เพราะเนื้อหาที่หนักและถ้อยคำที่บาดลึกในการวิพากษ์สังคม แต่ในวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ฮิปฮอปไทยได้กลายเป็นหนึ่งในกระแสหลักของวงการเพลงบ้านเรา มีรายการแข่งขันเกิดขึ้นมามากมายเพื่อเปิดโอกาสให้ชาวฮิปฮอปได้ออกมาโชว์สกิล ไม่ว่าจะเป็นรายการ The Rapper, Show Me the Money หรืออีกหลายๆ รายการ underground น่าสนใจว่า ฮิปฮอปไทยจะเดินไปทางไหนต่อจากนี้
Young MATTER ชวนคนเบื้องหลังอย่าง ‘ธนพล มหธร’ Music Director แห่ง The Rapper มาคุยกันถึงความยั่งยืนของกระแสฮิปฮอปไทย การทำงานเป็นคนเบื้องหลังในรายการฮิปฮอปบนทีวี และเส้นทางข้างหน้าของวงการฮิปฮอปไทย
The MATTER : อะไรคือจุดเริ่มต้นของ Freshment
ธนพล : Freshment ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เราคิดว่าทุกวันนี้ ดนตรีหรือว่าแนวเพลงต่างๆ มีความหลากหลายมากขึ้น ถ้าย้อนกลับไปสัก 5-10 ปีที่แล้ว เราอาจจะได้ยินเพลงป๊อป เราอาจจะได้ยินเพลงร็อค ที่อยู่ใน type ใกล้เคียงกัน แต่พอเวลาผ่านไป เราเห็นความหลากหลาย เราเห็นกลุ่มคนฟังที่เขามีความต้องการแตกต่างกันออกไป และเราก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นโปรดิวเซอร์ ทีมเขียนเพลงและงานอื่น เราเห็นคนมีความสามารถแต่ว่ายังไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะได้ทำงาน หรือได้แสดงผลงานนัก เราเลยรู้สึกว่าน่าจะมีทีมที่ให้พวกเขาได้นำเสนอไอเดียหรือวิธีการทำเพลงของตัวเองออกมาบ้าง
สมมติถ้าเขาอยากได้แนว alternative หรือเพลงแปลกๆ เพลงที่มันแตกต่าง เราก็จะลองโยนให้เพื่อนๆ ที่ผมดูแล้วว่าน่าจะเหมาะกับคนนี้ เพื่อนคนนี้เก่งทำ lofi hip-hop คนนี้เก่งทำ future bass คนนี้เก่งทำแนว trap เราก็ลองหาคนที่เหมาะกับงาน จึงเป็นการตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อให้แต่ละคนได้ลองทำงานแปลกๆ กัน
The MATTER : วงการเพลงไทยเปิดโอกาสให้เราทำเพลงฮิปฮอปมากแค่ไหนในตอนนี้
ธนพล : ถ้าพูดถึงฮิปฮอปมันก็เป็นสิ่งที่แฝงตัวอยู่กับวงการเพลงอยู่แล้ว เรามีศิลปินที่ผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็เห็นหน้าเห็นตาเขากันอยู่แล้ว อย่างพี่โจ้ โจอี้บอย หรือว่าพี่ขัน แก๊งไทเทเนี่ยม แก๊ง Underground แก๊ง Rap is Now หรือว่าน้องๆ แรปเปอร์ หลายๆ คนที่เขาก็ทำงานกันอยู่แล้ว
พอเป็นยุคนี้ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย อย่างของต่างประเทศ ฮิปฮอปเขามีเพลงที่อยู่ในชาร์ตฮิตของเขาอยู่ตลอด ซึ่งย้อนกลับไปได้เลย 10-20 ปี เราจะเห็นชาร์ต Billboard ของโลกที่คนทั่วโลกจะให้ความสนใจ ซึ่ง ใน 10 อันดับจะต้องมีเพลง hip-hop อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น hip-hop r&b, hip-hop rock บวกกับการมีหลายรายการเข้ามาในช่วงนี้ ทั้ง Rap is Now มี The Rapper มี Show Me the Money ซึ่งการมีหลายๆ รายการมันก็ทำให้วงการฮิปฮอปตอนนี้น่าตื่นเต้น มีความน่าสนุกหลายอย่าง ทำให้คนสนใจเยอะขึ้น และเห็นศักยภาพของแรปเปอร์ไทย ได้เห็นน้องๆ หลายๆ คน ที่ยังไม่เคยออกสู่สาธารณชน วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นความสามารถของพวกเขาแล้ว มันก็เลยทำให้เกิดแรงกระเพื่อม ในความรู้สึกเราและทำให้คนหันมาสนใจเพลงฮิปฮอป เพลงแรปกันมากขึ้น
The MATTER : คิดว่าอะไรทำให้คนเริ่มหันมาสนใจมาฟังฮิปฮอปมากขึ้น
ธนพล : อย่างแรก เราก็ต้องยอมรับก่อนว่ามันเป็นเรื่องของกระแสในตอนนี้ แต่สำหรับพวกเรา ฮิปฮอปมันไม่ใช่กระแส มันอยู่กับเรามาตลอด แล้วเราก็เชื่อว่าน้องๆ หลายๆ คนที่ เข้ามาร่วมแข่งขันในรายการเหล่านี้ เขาก็อยู่กับมันมานาน ถึงแม้บางคนอาจจะบอกว่าเพิ่งมาหัดแรปแต่จริงๆ แล้วเรารู้ว่าเขาก็ได้ฟังมันมาก่อน เขาก็ได้เห็นมันมาก่อน เขาก็ได้ชื่นชมศิลปินที่เป็นฮิปฮอปหรือแรปเปอร์ต่างๆ พอถึงวันหนึ่งมันมีองค์ประกอบพร้อม มีแรปเปอร์ที่ดี มีช่องทางที่ให้ทุกคนได้เห็น มีทีมงานที่คอยสนับสนุน และมีคนช่วยทั้งเรื่องภาพเรื่องเสียง พอทุกอย่างมันลงตัว ลงล็อก ก็เลยเกิดเอฟเฟกต์กับผู้คน
The MATTER : แสดงว่าก็ไม่ใช่แค่แรปเปอร์อย่างเดียวแต่งานเบื้องหลังก็สำคัญในวงการฮิปฮอป
ธนพล : สำหรับคนเบื้องหลังในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบีทเมกเกอร์หรือโปรดิวเซอร์ มีคนหลากหลายมาก มีน้องๆ หลายๆ คนที่เก่ง พัฒนาฝีมือมา อย่างในรอบ Road to the War is on 4 ของ Rap is Now ก่อนหน้าที่ ก็จะเป็นการแข่งขัน Beat Battle ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้พวกเราได้เห็นว่าเรามีบีทเมกเกอร์หรือโปรดิวเซอร์ มากฝีมือหลายคนในประเทศนี้ ผมเชื่อว่าพวกเขาต่างคนต่างก็ไปฝึกกันมาเอง ดู Youtube มั่ง ดูอินเทอร์เน็ตมั่ง แล้วก็ใช้ความตั้งใจใช้ความรักในเพลงพยายามทำกันออกมา ซึ่งพอมีคนผลิตเพลงมากขึ้นแรปเปอร์ก็มีวิธีการนำเสนอเรื่องราวของเขามากขึ้น ทำให้ผลงานออกมามากขึ้นตามไปด้วย
ในเพจหนึ่งของ Rap is Now ชื่อ What Drops ถ้าเข้าไปดูเพจนี้เราก็จะเห็นเลยว่ามีเพลงฮิปฮอปปล่อยเรื่อยๆ อาทิตย์นึงอย่างน้อยๆ ผมว่าต้องมีเป็น 10 เพลง ซึ่งทั้ง โปรดิวเซอร์, บีทเมกเกอร์, แรปเปอร์ เขาก็ทำงานกันอย่างหนักมาตลอด วันนี้พอกระแสมา คนก็เลยหันมาดู เฮ้ย เจ๋งนี่หว่า
The MATTER : เห็นอะไรในคนทำบีทรุ่นใหม่บ้าง
ธนพล : อย่างผมเนี่ยจะเรียกตัวเองว่าเป็นโปรดิวเซอร์มากกว่า วันนี้เราเห็นน้องๆ บีทเมกเกอร์ หลายๆ คน โห ทำบีทกัน เรื่องเทคนิค เรื่องทักษะในการทำดนตรี การใช้โปรแกรมการใช้ซาวด์ รสนิยมต่างๆ คือมันพัฒนา และเติบโตเร็วมากเลย ในฐานะที่เราทำงานโปรดิวเซอร์มา เราก็รู้สึกว่ามันคึกคักมาก มันสนุกที่เห็นหลายๆ คนขยันและตั้งใจทำงาน
ผมมักจะบอกอยู่เสมอว่า เก่งไม่เก่ง ถ้าไม่ขยันก็จบ เพราะเรื่องซาวด์มันหมุนทุกวัน สมมติเดือนนี้ ซาวด์นี้อาจจะอยู่ในเทรนด์ แต่พอเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า มันอาจจะเปลี่ยนแล้วก็ได้ คุณต้องตามให้ทัน จะไม่เหมือนสมัยก่อนที่บางที เพลงแนวนี้ ซาวด์แบบนี้ อยู่กินกันได้เป็น 5 ปี 10 ปี มันเลยทำให้ทุกคนมีไฟและก็สู้ อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และได้รับการยอมรับจากสังคมด้วย เพราะงั้นเราเลยรู้สึกชื่นชมหลายๆ คน ที่ทำงานออกมา เรารู้สึกว่าทุกคนมี passion ในการทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะนอกจากจะทำให้ตัวเขาเติบโตแล้ว มันก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่ง factor ที่ทำให้วงการเติบโตตามไปด้วย
The MATTER : ฮิปฮอปในเอเชียกำลังเติบโตและได้รับการยอมรับจากตะวันตกมากขึ้น คิดว่า ฮิปฮอปไทยจะไปถึงจุดนั้นได้หรือเปล่า
ธนพล : ถ้าทุกคนยังมี passion กับมัน มีความทะเยอทะยาน มีความตั้งใจที่อยากจะไปถึงจุดนั้นจริงๆ ผมเชื่อว่ายังไงมันก็ไปได้ ตอนนี้บ้านเราก็เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ มีแรปเปอร์ดังๆ บินมาถ่าย MV บ้านเรา Tyga กับ Travis Scott ก็บินมาถ่าย MV อีกอย่าง ไทเทเนี่ยม หรือ โจอี้บอย ก็มี connection กับแรปเปอร์เหล่านี้อยู่แล้ว ถ้าให้ความสำคัญกับคุณภาพไอเดียและคาแรคเตอร์ แล้วยังทำกันต่อไป มันเกิดขึ้นได้แน่นอน ส่วนจะเร็วจะช้ามันไม่ใช่เรื่องของพวกเราแล้ว ถ้าเราตั้งใจทำมัน สุดท้ายถ้ามันดีจริง วันนึงโอกาสมาถึงแล้วพวกเราพร้อม มันก็จะไปได้เอง
The MATTER : มาที่รายการ The Rapper บ้าง อยากให้พูดถึงความยากและความสนุกของการทำเพลงในรายการหน่อย
ธนพล : การเป็น music director ของรายการนี้มันท้าทายมาก ผมเองก็ยังไม่เคยเป็น music director แบบเต็มตัวขนาดนี้มาก่อน เราได้ยินโจทย์ตั้งแต่แรกว่าเราจะต้องมาทำอะไร เราก็ยังไม่เห็นนะว่าอนาคตเราจะต้องไปเจอกับอะไรบ้างในการทำ ทั้งๆ ที่ก็ตกปากรับคำไปแล้ว แต่พอถึงเวลาที่เจอของจริง ได้มาเจอกับ แรปเปอร์จริงๆ ได้มาเจอกับเพลงที่ถูกเลือกแล้ว เราก็ต้องขมวดออกมา
เราจะต้องเล่าโจทย์นี้ออกมายังไง เพลงอะไรที่มันจะเหมาะ แล้วเพลงนี้เข้ากับซาวด์อะไร แนวไหน แล้วต้องเว้นกี่บาร์ให้เขาแรป และต้องเว้นตรงไหน แล้วเนื้อฮุคอันไหนที่ไม่เข้ากับเรื่องของเขา แต่ว่า main theme มันใช่ ต้องเปลี่ยนเนื้อบางคำมั้ย มันเป็นอย่างนี้ทุกๆ เพลงที่ทำเลย ไม่ใช่แค่เพลงเดียวหรือ 10 เพลง ทุกเพลงในรายการถูกคิดแบบนี้หมด ช่วยกันคิดหลายๆ ฝ่าย ทางทีมโปรดักชั่น พี่ๆ โต๊ะกลม ทีม Rap is Now แล้วก็ทาง Freshment เนี่ย ช่วยกันคิดหลายๆ มุม
อย่างบางเพลงนี้โคตรเหมาะเลยกับเรื่องที่แรปเปอร์อยากจะเล่า แต่ถึงเวลาเขาไม่ชอบเพลงสว่างแบบนี้ เขารู้สึกว่าเขียนไม่ออก เราก็ต้องทำให้มันหม่นออกมาให้ได้ หรือแม้กระทั่งล่าสุดแรปเปอร์อยากจะไปเยี่ยมเพื่อนในคุก เพลงต้องเป็นยังไงวะ เพลงเยี่ยมเพื่อนในคุกมันต้องหม่นแค่ไหน หรือการเดินเข้าไปเยี่ยมเพื่อนในคุกมันไม่ได้หม่นขนาดนั้นวะ มันอาจจะมีความหวังเข้าไป มีความหวังดีให้กับเพื่อน มันอาจจะมีความรู้สึกเหล่านี้รึเปล่า มันก็ต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ คิด
ความยากในการทำคือเราต้องแต่ง เราต้องทำดนตรีทั้งหมดให้คนดูชอบด้วยอันนี้อันดับหนึ่ง อันดับที่สองคือ เราต้องทำดนตรียังไงก็ได้ให้แรปเปอร์รู้สึกไปกับมัน ฟีลไปกับดนตรีนี้ เพราะถ้าเขาไม่อินไปกับดนตรี หรือจังหวะ เขาก็จะเขียนกันไม่ออก หรือเขียนกันได้ไม่เต็มที่เท่าที่มันควรจะเป็น ซึ่งมันมีหลายโจทย์ แล้วแต่ละเพลงมันก็ยิบย่อยมากในการทำ และเราก็รู้สึกว่ามันท้าทายมากๆ ที่เราต้องแข่งกับเวลาอย่างรวดเร็ว โจทย์บางโจทย์อาจจะไม่ได้เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่ถ้าบวกกับสมการของเวลาที่ต้องทำในรายการทีวี ก็ต้องบอกว่ามันหินมากๆ แต่พอเราได้ทำจริงๆ แล้ว เรามีความรู้สึกว่ารายการนี้มันจะเอฟเฟกต์กับผู้คน เรื่องราวเหล่านี้ที่แรปเปอร์เขียนมันจะได้ออกไปเจอกับคน
The MATTER : รู้สึกยังไงบ้างกับฟีดแบ็คของรายการในแต่ละสัปดาห์
ธนพล : ทุกๆ สัปดาห์ เราก็รอดู เพราะว่าวันถ่ายเราก็อยู่ที่สตูดิโอ เราก็รู้สึกว่าโชว์นี้โคตรสนุกเลยโชว์นี้โคตรดี โชว์นี้โคตรซึ้งเลย โชว์นี้ร้องไห้กันเต็มเลยตอนวันถ่าย ถึงเวลาเราก็ได้แต่หวังว่าหลังจากตัดต่อออกไปสู่สายตาสาธารณะชนแล้ว พวกเขาจะรู้สึกยังไง พวกเขาจะชอบมันอย่างที่พวกเราชอบมันมั้ย พวกเขาจะรู้สึกเท่าที่เราได้ยินมันตรงนั้นรึเปล่า ถ้าอยู่บ้านหรือว่าถ้ามีเวลาเนี่ยก็จะพยายามดูสด ทุกๆ ครั้ง เราจะดูคอมเมนต์ในเฟสบุ๊ก ในทวิตเตอร์ ซึ่งทุกๆ วีคก็จะมีบางประโยคในเพลงที่แรปเปอร์เขียนแล้วไปทำให้เขาประทับใจ เราก็รู้สึกว่า เราเคยเป็นจุดที่เขาไม่ได้หันมามองเลยนะ เราเคยเป็นจุดที่เขาไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำ
วันนี้ไม่ว่าเขาจะมองมันในมุมไหนก็แล้วแต่ หรือมองในแง่ความหล่อของแรปเปอร์หรือความเจ๋งของการเขียน มุกตลก หรือความซึ้งความเศร้าความอินต่างๆ แต่ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เขาหันมามองดูพวกเรา แล้วการหันมามองดูเหล่านี้ มันทำให้ถ้าวันนึงถ้าเราทำอะไรกันอีก คนดูจะหันกลับมาหาเราง่ายขึ้น
The MATTER : คิดว่าหลังจากการจบลงของรายการแข่งแรปต่างๆ วงการฮิปฮอปจะเดินไปทางไหนต่อ
ธนพล : ถ้าหลังจากรายการเหล่านี้จบ พวกเราอยากจะเห็นน้องๆ แรปเปอร์ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้มีงานที่เลี้ยงดูตัวเองได้จริงๆ เพราะก่อนนี้การแรปมักจะเป็นเรื่องของงานอดิเรก ถ้าเราสามารถทำให้แรปเปอร์เป็นอาชีพได้จริงๆ ไม่ว่าจะมาเป็นคนเขียนเพลงโฆษณา หรือว่าจะถูกเอาไปเขียนให้คนอื่นแรป หรือเป็นแรปเปอร์เอง ถ้ามันทำเป็นอาชีพได้ มันหาเงินให้เขาได้จริงๆ วงการมันจะโตขึ้นไปอีก เราอยากจะทำให้วันนี้มันเป็นกระแสแล้วใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่อยากให้จบกันไปแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำสิ่งเดิม ถ้าทำอะไรต่อไปได้ ปล่อยเพลงได้ พยายามไปเล่นคอนเสิร์ต พยายามทำให้เต็มที่ วงการมันก็จะยิ่งคึกคัก
The MATTER : คิดว่าแนวเพลงฮิปฮอปของไทยจะหลากหลายกว่านี้ได้อีกไหม
ธนพล : พูดถึงความหลากหลาย ในรายการ The Rapper เราก็ตั้งไข่ประมาณนึงว่าฮิปฮอปมันหลากหลายได้นะ จะลูกทุ่ง สามช่า ละติน ร็อค หรือ EDM หรือว่าจะเศร้า จะหวาน จะน่ารัก จะ ghastly orchestra หมันเป็นไปได้หมด เพราะงั้นเวลาคุณไปทำเพลงก็จงใช้ไอเดียเหล่านี้ที่พวกเราลองทำให้ดูแล้วว่ามันเวิร์กนะ ถึงเวลาก็จงลองอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงบ้าง ถ้าเกิดได้ทำก็ลองเอานู่นมาผสมนี่เพราะจริงๆ แล้วความสนุกของฮิปฮอปมันคือการจับโน่นมาผสมนี่ผสมนั่น วันนึงเอาเสียงผิวปากมา วันนึงเอาเสียงดีดนิ้ว วันนึงเอาเสียงเตะกระป๋อง วันนี้คุณไปได้ยินอันนี้มา ไอเดียพวกนี้ลองเอามาผสมดู ดีไม่ดีไม่รู้ ลองทำดูก่อนไหม อย่าเพิ่งไปตั้งกำแพงว่ามันได้หรือไม่ได้
ฮิปฮอปดีอย่างหนึ่งคือมันไปผสมกับใครก็ได้ การแรปหรือฮิปฮอปมัน easy-listening กับ EDM มันก็ไปได้ Pitbull หรือ Flo Rida ก็มา EDM ได้ ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไงมันก็เหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี ความสนุกของมันคือการผสมผสาน เพราะส่วนตัวไม่ได้มองว่าฮิปฮอปซึ่งเป็นดนตรีที่ผมชอบนี่แหละคือดนตรีที่ควรจะได้รับการยกย่อง เพราะงั้นคุณจะเฮฟวี่ คุณจะร็อค คุณจะอีสาน คุณจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณลองเปลี่ยนไอเดีย ลองใส่ความครีเอทีฟเข้าไป ผมเชื่อว่ามันไม่มีดนตรีอันไหนตายไปจากอันไหน ทุกอันมันยังอยู่เพราะมันก็เป็นดนตรีแนวแบบนั้น ถ้าคุณได้ลองทำให้มันแตกต่างแบบใหม่ ลองเอาอันนี้มาผสมไหม ลองเล่าเรื่องใหม่ไหม การพัฒนาเล่านี้มันจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเติบโตขึ้นไป ไม่ใช่แค่ฮิปฮอปอย่างเดียว แต่กับดนตรีทุกประเภท
The MATTER : มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะมาทำงานด้านนี้
ธนพล : เราก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเรากล้าจะไป guideline ชีวิตใคร แต่สิ่งคุณต้องมีคือคุณต้องขยันมากๆ แต่จะให้อธิบายว่าต้องขยันแค่ไหนมันก็ยาก แค่ให้คุณรู้ตัวเองว่ารักมันจริง แล้วคุณยังรู้สึกว่าคุณยังไม่ดีพอ หรือคุณยังไม่เก่งพอ อย่าไปโทษ factor รอบๆ ตัว ถ้าเรายังไม่ดีพอ เราต้องขยันอีก ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าผมยังไม่เก่งพอ ผมยังต้องทำอีก ผมยังต้องอดหลับอดนอนทำ ไม่ว่าจะเหนื่อยยังไง บางทีก็เบื่อ บางทีก็รู้สึกว่าเราทำเยอะไปบางทีเราก็อาจจะหมดไอเดีย แต่เราต้องเสกมันให้ได้ เราต้องทำให้ได้ ไม่ต้องมารอฟีล ไม่ต้องมารออารมณ์ เราต้องเป็นคนสร้างฟีลให้ได้ เพราะฟีลมันอยู่ในตัวเรา ถ้าเราไปนั่งรอฟีลเราถึงจะมาแต่งเพลงได้หรือมาทำเพลงได้ มันก็จะทำให้ใช้ชีวิตค่อนข้างยาก เพราะงั้นเราต้องขยัน ต้องคอยหมั่นเติมความรู้ให้ตัวเอง resource ต่างๆ เทคนิคที่เราคิดว่าเรายังไม่เป็น
หลายๆ คนจะบอกว่าไปดูใน YouTube เอา ก็ได้แล้ว ผมเองก็เรียนจาก YouTube แต่สุดท้ายแล้วมันต้องทำจริงๆ มันต้องกดจริง แล้วเราจะรู้ว่ามันเป็นยังไง อย่าไปดูอย่างเดียว เด็กบางคนบอก ผมยังไม่มีงบ ก็ต้องเก็บตังค์ ต้องพยายาม เพราะว่าตอนที่เราทำครั้งแรก เราก็ช่วยโปรดิวเซอร์มาหลายๆ คนก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมพ่อแม่ซื้อคอมเป็นหมื่นเป็นแสนให้ ทุกคนก็ต้องค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ ศึกษาไป วันนี้เรามีเท่าไหร่เราทำเท่านั้น แต่ว่าเราทำเราต้องหวังผลว่าเราจะได้อะไรกลับมาเพื่อเดินต่อไป เซ็ทเป้าหมายให้ตัวเอง ขยันให้มากพอ มี passion เราว่าทำอะไรก็ทำได้
อีกอย่างนึงที่อยากฝากไว้ก็คือ จงน่ารักกับทุกๆ คน บางทีคนเขามีภาพลบบางอย่างกับพวกเรา เพราะพวกเราอาจจะดูดิบๆ บ้าง บางทีมีโหวกเหวกโวยวาย แต่แรปเปอร์หลายๆ คนไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะงั้นถ้ามีโอกาสได้ไปทำงานกับคนอื่น หรือไปร่วมงานกับศิลปินที่ไม่เคยร่วมงานกับเรามาก่อน ก็อย่าไปไม่น่ารักใส่เขา ก็จงทำตัวเป็น professional ให้มากพอ ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเพื่อที่จะทำให้ทุกๆ อย่างมันเติบโตไปได้รวมถึงตัวคุณเองด้วย เพราะผมเชื่อว่าอย่างพี่โจ้ พี่ขัน หรือพี่กอล์ฟ หรือใครต่อใครที่อยู่ในวงการมาได้เป็นสิบๆ ปี มันไม่ใช่แค่ว่าเขาเก่งหรือไม่เก่ง เขาต้องทำตัวให้ดี เขาต้องเป็นที่รักของทุกคนซึ่งมันก็ต้องมีความคิดเหล่านี้อยู่ในใจไว้ด้วยถ้าคุณจะทำอาชีพนี้ไปด้วย