ในฐานะเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2017 ผู้คนย่อมเฝ้ารอว่าผลงานใหม่ของ คาซุโอะ อิชิกุโระ จะออกมาในแนวทางไหน หลังจากที่ The Buried Giant (2015) ทำเอาคนอ่านเหวอกันไป เพราะอยู่ดีๆ คุณพี่เขาก็เขียนนิยายแฟนตาซี แถมเสียงตอบรับดูเหมือนออกมาคล้ายกันทำนองว่า “มันเรื่อยๆ ไปหน่อย”
Klara and the Sun คือผลงานล่าสุดของอิชิกุโระที่เพิ่งวางขายเมื่อมีนาคม ค.ศ.2021 ว่าด้วยยุคอนาคต (ที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็ววัน) ที่ผู้คนสามารถซื้อหุ่นยนต์ AI ไปเป็น ‘เพื่อน’ ได้ โดยหุ่นพวกนี้ถูกเรียกว่า AF ย่อมาจาก Artificial Friend (แม้ว่าผู้เขียนจะเผลออ่านเป็น as f**k อยู่ร่ำไป) ถือเป็นการกลับมาเขียนงานแนวไซไฟอีกครั้ง หลังจากที่อิชิกุโระเคยทำไว้อย่างยอดเยี่ยมใน Never Let Me Go (2005)
ตัวหนังสือใช้การเล่าแบบบุรุษหนึ่งผ่านตัวละครคลาร่า ซึ่งเป็นหุ่น AF ที่รอให้มีคนซื้อเธอไป จุดเด่นที่ปรากฎตลอดเรื่อง Klara and the Sun คือการถ่ายทอดการสังเกตและห้วงความคิดของคลาร่าอย่างละเอียดลออ เช่นว่า 50 หน้าแรกของหนังสือเป็นเรื่องของคลาร่าที่นั่งหรือยืนอยู่เฉยๆ ในร้าน เธอเฝ้ามองลูกค้าที่เข้ามา เหล่าหุ่นยนต์และชั้นวางในร้าน รถราที่ถนนด้านนอก ไปจนถึงการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์ ถ้าหากเป็นคนอ่านความอดทนต่ำอาจจะยอมแพ้ไปตั้งแต่บทแรก เพราะมันไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากนัก
หนังสือเริ่มมีความเข้มข้นทางอารมณ์เพิ่มขึ้นเมื่อโจซี่เด็กสาววัย 14 มารับคลาร่าไปอยู่ด้วย เมื่อคลาร่าย้ายไปอยู่บ้านโจซี่ เธอก็ได้พบเจอกับสถานการณ์มากมาย ทั้งตัวโจซี่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ความสัมพันธ์ของโจซี่กับแม่ที่ไม่ค่อยลงรอยกันนัก รวมถึงริค-เด็กหนุ่มคนรักของโจซี่ที่มีฐานะยากจนกว่า ทว่าเรื่องก็ไม่ได้มีความหวือหวาอะไรนัก เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้านของโจซี่ และแน่นอนว่าคนอ่านได้รับรู้ทุกอย่างผ่านสายตาของคลาร่า
น่าสนใจที่อิชิกุโระแทบไม่ได้อธิบายภูมิหลังเกี่ยวกับ AF หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในหนังสือเลย ผู้อ่านไม่อาจได้ทราบว่า AF ถูกผลิตโดยใคร มีที่มาอย่างไร มีกฎใดๆ บ้างระหว่างมนุษย์กับ AF หรือมีพล็อตที่เล่าถึงพวกเด็กรวยๆ ที่ได้ ‘ยกระดับ’ (lifted) ตัวเองด้วยการตัดต่อทางพันธุกรรม แต่หนังสือก็ไม่ได้ลงลึกในประเด็นนี้ เพียงบอกเป็นนัยว่าโจซี่น่าจะได้ผ่านกระบวนการที่ว่าและนั่นอาจเป็นสาเหตุแห่งความป่วยไข้ของเธอ ส่วนริคที่เป็นชนชั้นล่างก็ไม่ได้รับสิทธินั้น นี่คือความแตกต่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ราบรื่น
การจงใจละวางคำอธิบายทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ถึงกระบวนการทำงานของคลาร่า เช่นว่าตกลงแล้วเธอฉลาดมากแค่ไหน เธอก้าวหน้าในระดับที่มีอารมณ์ความรู้สึกใกล้เคียงมนุษย์หรือเปล่า
มีจุดขัดแย้งน่าสนใจว่า ในขณะที่คลาร่าสามารถสังเกตอารมณ์ของมนุษย์ได้ฉับไวและเลือกปฏิกิริยาตอบรับอย่างชาญฉลาด เธอกลับมีความเชื่อบางอย่างที่ดู ‘ไร้เดียงสา’ มากๆ เกี่ยวกับพระอาทิตย์ อย่างที่ชื่อหนังสือบอกไว้ว่าพระอาทิตย์คืออีกตัวละครสำคัญ เนื่องจากคลาร่าเป็น AI รุ่นรับพลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ดี กระทั่งอ่านนิยายจนจบแล้วผู้เขียนก็ยังรู้สึกมึนงงกับลักษณะเดี๋ยวฉลาดเดี๋ยวซื่อของคลาร่าอยู่ดี
ดูเหมือนว่าอิชิกุโระจะไม่ได้ต้องการเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อถ่ายทอดความล้ำสมัยของโลกอนาคตที่ทุกอย่างถูกฉาบด้วยสีเงินเมทัลลิก สถานที่ในเรื่องส่วนใหญ่เป็นชานเมืองหรือทุ่งหญ้าด้วยซ้ำ (อันนี้คล้ายกับ Never Let Me Go) แต่คำถามสำคัญของ Klara and the Sun เป็นเรื่องละเอียดอ่อนว่า AI มี ‘ความรู้สึก’ หรือไม่ ความรักความผูกพันของคลาร่าต่อโจซี่เป็นสิ่งแท้จริงหรือการถูกโปรแกรมมา แถมยังมีตอนสำคัญที่แม่ของโจซี่พูดกับคลาร่าว่า “บางครั้งฉันก็อิจฉานะที่เธอไม่มีความรู้สึก” แต่ดูเหมือนคลาร่าจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไร
กระนั้นแม้จะมีธีมที่น่าสนใจ ผู้เขียนขอสารภาพว่าอ่านครึ่งหลังของ Klara and the Sun อย่างทนทรมานพอสมควร เมื่อมาถึงจุดหักมุมของเรื่อง มันก็เป็นอะไรที่คาดเดาได้และค่อนข้างเชยในแง่ประเด็น ‘ตัวตน’ และ ‘การดำรงอยู่’ ของ AI (ซึ่งหนังอย่าง A.I. Artificial Intelligence (2001) หรือ Ex Machina (2014) ได้สำรวจจนพรุนแล้ว) แถมอยู่ดีๆ ตอนท้ายเรื่องเหล่าตัวละครพากันดราม่าฟูมฟายใหญ่โต บทสนทนาบางช่วงชวนขนลุก (ในทางที่ไม่ดี) จนเผลอนึกว่ากำลังอ่านนิยาย Young Adult อยู่ และผู้เขียนค่อนข้างเห็นด้วยที่หลายเสียงวิจารณ์ว่านิยายเล่มนี้มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับ Never Let Me Go แต่ทำได้ไม่ดีเท่า
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านความหงุดหงิดใจมาได้ บทสุดท้ายของ Klara and the Sun ก็พลิกมาน่าประทับใจอีกครั้ง อิชิกุโระเลือกกลับไปใช้วิธีการแบบบทแรกของหนังสือ คือการให้คลาร่าอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งและบรรยายสิ่งที่เธอเห็นรอบตัว ทว่าคราวนี้สถานการณ์ต่างออกไป กลายเป็นบทสรุปแสนเศร้าปวดใจ ทำให้นึกถึงประโยคตอนต้นเรื่องที่เจ้าของร้านขายหุ่นยนต์เคยเตือนคลาร่าว่า “อย่าไปทุ่มเทให้กับคำสัญญาของมนุษย์จนเกินไป”