ละครเลือดข้นคนจาง ก็ใกล้จะจบแล้ว นักแสดงในเรื่องต่างก็ได้รับความสนใจมากมาย ทั้งรุ่นใหญ่ และรุ่นเล็กที่ทั้งมีหน้าใหม่และคนคุ้นเคยกัน ซึ่งรุ่นลูกหลานผู้ชายของบ้าน ก็คือกลุ่มบอยแบนด์ที่เป็นโปรเจกต์ใหม่ อย่าง วง 9×9 หรือ Nine By Nine (ไนน์ บาย ไนน์) นั่นเอง
แล้วโปรเจกต์ที่ว่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีอะไรมากกว่าการรวมตัวกันของหนุ่มหล่อหรือไม่?
9×9 คืออะไร ?
9×9 เป็นหนึ่งในโครงการฉลองครอบรอบ 11 ปี ของ บริษัท 4Nologue หรือ โฟร์โนล็อก ที่มีชื่อเสียงจากการจัดอีเวนต์เกี่ยวกับไอดอลเกาหลีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงหลังมานี้ บริษัทก็เริ่มขยับมาจัดอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับดาราเซเล็บชาวไทยมากขึ้น เช่น การจัดงาน Meet & Greet ไอดอลชาวไทยที่เป็นสมาชิกของวงไอดอลจากประเทศต่างๆ และในที่สุดก็ขยับมาจัดโปรเจกต์ที่มีดาราเซเล็บในไทยเป็นสมาชิกหลัก ซึ่งนั่นก็คือ 9×9 นั่นเอง
โครงการนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 และมีการประกาศชัดเจนในงานแถลงข่าวว่าพวกเขาจะทำการกระจายผลงานของสมาชิก 9×9 ไปตามสื่อประเภทต่างๆ ทั้งในส่วนโทรทัศน์, รายการผ่านช่องทางออนไลน์ และงานคอนเสิร์ต และมีกำหนดชัดเจนว่า โปรเจกต์นี้จะดำเนินการเป็นเวลาหนึ่งปีถ้วน นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2018-2019
ในการเปิดตัวครั้งแรก สมาชิกของ 9×9 ประกอบไปด้วย ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร, เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม, เจมส์-ธีรดนย์ ศึภพันธุ์ภิญโญ, กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง, เติร์ด-ลภัส งามเชวง, ปอร์เช่-ศิวกร อดุลยสุทธิกุล, แจ็คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย, ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์ และ มิว-ชิษณุชา ตันติเมธ
แต่หลังจากประกาศเปิดตัวได้ไม่นาน มิว ชิษณุชา ได้ถอนตัวออกจากวง (สาเหตุการออกนั้นไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่มีการระบุว่า มิว มีเหตุผลส่วนตัวที่จะกระทบกับเวลาซ้อมของกลุ่ม) ก่อนจะมีการสลับเอา ริว-วชิรวิชญ์ อรัญธนวงศ์ มาเป็นสมาชิกแทน
แฟนๆ โปรเจกต์นี้คงรู้อยู่แล้วว่าคนดังที่ตัวเองชอบได้เข้าร่วมโปรเจกต์นี้ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เกาะติดขนาดนั้นอาจเพิ่งได้เห็นผลงานของทั้ง 9 คน ภายใต้ 9×9 ก็ตอนที่เล่นละคร เลือดข้นคนจาง ในช่วงเดือนกันยายน ของปี 2018 และในวันนี้ 8 พฤศจิกายน พวกเขาก็ได้ปล่อยซิงเกิลแรกออกมาให้เราได้รับฟังกัน และมีกำหนดว่าโปรเจกต์นี้จะไปสิ้นสุดที่วันที่ 9 มีนาคม ปี 2019
โปรเจกต์พิเศษในอดีต
การรวมตัวกลุ่มศิลปินเลือดใหม่ที่มีความสามารถหลากหลาย’ ก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกประหลาดมากนักในวงการบันเทิงไทย ที่ภาพเร็วที่สุดและดูจะมีความใกลเคียง 9×9 ด้วย ก็คงจะเป็น โปรเจกต์ ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ ของทางช่อง 3 ที่ 3 ใน 5 พระเอกนั้นเป็นดาราหน้าใหม่ที่ถือว่ายัง no name แบบขั้นสุด แต่สุดท้ายเมื่อมีการปูบทเกริ่นด้วยการนำเอาพระเอกห้าคนของละครชุดดังกล่าวมาออกในรายการเรียลลิตี้โชว์กันก่อนละครจะฉายจริงเป็นเวลาหลายเดือน ก็ทำให้คนค่อยๆ รู้จักตัวตนของนักแสดงแต่ละคน
ถ้าเอาแบบหวือหวาหน่อยก็คงเป็นการที่ทาง นาดาวบางกอก กับทาง GDH ใช้รายการออดิชั่นในการสร้างฐานคนดูให้กับผู้ที่ชนะการประกวด ในทางกลับกันถ้ามีคนไหนที่อาจจะตกรอบไปกลางทาง แต่คนดูชอบ ทางค่ายก็สามารถดึงตัวคนเหล่านั้นกลับมาร่วมแสดงในผลงานของพวกเขาได้ ซึ่งก็สร้างกระแสได้ดี ทั้งในกรณีของ Hormones The Next Gen หรือ Diary of Tootsies Project Audition
ในวงการเพลงสมัยก่อน เราก็เคยเห็นกรณีของ Teen 8 Grade A จากทาง Grammy ซึ่งเอานักร้องหน้าใหม่มามัดรวมเป็นแพ็คใหญ่ เล่นละครร่วมกันหนึ่งเรื่อง ก่อนทำการจับแยกแต่ละคนไปตามแนวทางที่รุ่งในภายหลัง หรือใหม่ขึ้นมาหน่อยก็เป็น G—Junior ที่มีกอล์ฟ—ไมค์, ชิน ชินวุฒ หรือในฝั่ง RS Promotion ก็มีการเอานักร้องที่ออกอัลบั้มมารวมกันเป็นแพ็คใหญ่ อย่างอัลบั้ม The Next กับ X-Venture และสุดท้ายกลุ่มนักร้องนี้ก็มักจะเล่นหนังในค่ายของตัวเองอีกทีหนึ่งเช่นกัน
แต่ถ้าการรวมตัวกันของศิลปินไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แล้วอะไรที่น่าสนใจในการฟอร์มโปรเจกต์ 9×9 ล่ะ?
การรวมตัวกันของศิลปินต่างค่าย
แม้พวกเขาจะมาเล่นละครร่วมกันครั้งแรกในละครของทางนาดาวบางกอก แต่สมาชิกในโปรเจกต์นี้ก็ไม่ใช่เด็กของทางนาดาวบางกอกทั้งหมด เพราะเมื่อเช็ครายละเอียดผลงานของสมาชิกแต่ละท่านแล้ว แม้ว่าจะมีคนที่ดังมาจากผลงานของ นาดาวฯ จริงๆ อย่าง ต่อ ธนภพ,เจมส์ ธีรดนย์ กับ เจเจ กฤษณภูมิ แล้ว สมาชิกคนอื่นๆ อย่าง กัปตัน ชลธร ที่แม้จะย้ายมาอยู่ค่ายนาดาวบางกอกแล้ว แต่เขาก็มีชื่อเสียงมาจากการรับบทในซีรีส์ Y, ด้าน เติร์ด ลภัส กับ ปอร์เช่ ศิวกร เป็นอดีตสมาชิกของ Kamikaze ที่มีซิงเกิลเพลงออกมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ ก็ได้อยู่ภายใต้สังกัดของ 4NOLOGUE รวมถึงดาราหน้าใหม่อย่างแจ๊คกี้ด้วย และ ริว วชิรวิชญ์ ก็เป็นดารารุ่นใหม่ของทางช่อง 3 แต่ก็ข้ามมาลงโปรเจกต์ที่มีละครในช่อง One 31
แม้ทั้ง 9 คนนี้จะมีความสามารถอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ ‘ค่าย’ ดั้งเดิมที่พวกเขาสังกัดอยู่นั้นก็อาจทำให้ประกายความสามารถเหล่านี้ไม่อาจฉายแสงออกมาได้ อย่างเช่นฝั่งของ นาดาวฯ กับ ช่อง One 31 แม้จะมีสไตล์งานที่คนดูยุคใหม่ต้องการ แต่ตัวเลขเรตติ้งของช่องก็ยังน้อย ในทางกลับกัน ริว ที่เป็นน้องใหม่ของช่อง 3 ในช่วงนี้ก็ติดปัญหาของช่องที่ไม่สามารถเข็นดารารุ่นใหม่ให้คนจดจำได้เหมือนรุ่นก่อนหน้า หรือพูดอีกแง่ก็คือ ‘ยังไม่มีจุดเด่น’
ฝั่งศิลปินสายร้องกับเต้น แม้จะน่าจดจำ แต่ในยุคนี้ที่ค่ายเพลงทำตลาดสายป๊อปเต็มตัวน้อยลง เวทีที่ให้นักร้องสไตล์นี้ขึ้นแสดงก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งจริงๆ เติร์ด กับ ปอร์เช่ น่าจะเห็นภาพเหล่านั้นมาแล้วจากการที่ Kamikaze สังกัดเก่าของพวกเขาได้ปิดตัวลงไปอย่างเงียบเหงาและไม่มีกิจกรรมใดๆ ปิดม่านค่ายเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยครองใจวัยรุ่นไทย
แม้แต่ทาง 4Nologue ที่ถือว่าเป็นแกนนำของโครงการนี้ ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน พวกเขาอาจจะยังสามารถทำอีเวนต์กับนักร้องสายเกาหลีได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ากระแสของไอดอลกลุ่มเหล่านั้นจะยังทำตลาดในไทยได้อีกนานขนาดไหน และการจะข้ามไปทำงานอื่นๆ ในสายบันเทิงก็มีโอกาสทับเลนกับเจ้าอื่นๆ ที่มีลมปราณสูงส่งกว่า
ดังนั้น การเสริมจุดแข็งด้วยการจับมือกับ ‘ค่าย’ อื่นๆ จึงออกมาเป็นอย่างที่เราเห็น ณ ตอนนี้ จากเดิมที่คนคิดว่า กลุ่มเด็กนาดาวฯ จะทำได้แค่การแสดง ตอนนี้เราได้เห็นว่า พวกเขาก็เต้นและร้องเพลงได้ ส่วนสมาชิกหน้าใหม่ก็เริ่มโดดเด่นจากบทบาทหลากหลายในละครเลือดข้นคนจาง และตอนนี้พวกเขาก็เริ่มแสดงทักษะแบบอื่นๆ ให้เห็นในการสัมภาษณ์บ่อยขึ้น เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่งที่เราเห็นก็คือการพยายามสลายภาพลักษณ์ของ ‘ค่าย’ อย่างเต็มที่ของทาง 4NOLOGUE ซึ่งเรื่องนี้จะไปปรากฎชัดในรายการที่สมาชิกวง 9×9 มาร่วมกันร้องเพลง เต้น และแสดงความสามารถที่ฝึกมาแรมปี แต่เพลงที่พวกเขาร้องกันในช่วงเวลาก่อนที่ซิงเกิลของตัวเองจะออกมา ไม่ได้เป็นเพลงของพวกเขาเองแต่เป็นการ cover เพลงดังจากนักร้องคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของทาง GMM, Love Is, What The Duck, Small Room, เพลงต่างชาติ หรือแม้แต่เพลงของทาง RS Promotion / Kamikaze ก็ตามที
การร้องเพลงแบบนี้ นอกจากจะสะท้อนภาพลักษณ์ ‘ทลายกำแพงค่าย’ ของเมมเบอร์ในโปรเจกต์แล้วยังแสดงให้เห็นว่าคนที่ร่วมลงทุนกับโปรเจกต์นี้เอาจริงเอาจังระดับยอมเสียเงินค่าลิขสิทธิ์เพลงของทาง RS Promtion / Kamikaze ที่ช่วงหลังนักร้องเก่าในค่าย ยังมีไม่กี่ท่านที่ทุ่มทุนซื้อสิทธิ์เพื่อมาร้องเพลงโปรโมตเท่าไหร่นัก จึงเป็นสัญญาณที่บ่งชัดได้ดีว่า งานนี้พวกเขาซีเรียส แม้จะเป็นช่วงเวลาจำกัดแค่ปีเดียวเท่านั้น
ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นการข้ามค่ายกันแบบนี้อีกบ่อยขึ้น หรือกินเวลายาวนานมากกว่านี้ก็เป็นได้
สนองไลฟ์สไตล์ Always Online
ส่วนนี้เราสังเกตจากการโปรโมตของตัววงเอง ส่วนแรกก็คือการพยายามตะลุยแปะ Hashtag #9x9th ในพื้นที่โลกอินเทอร์เน็ตเท่าที่พวกเขาจะไปได้ กับ อีกส่วนหนึ่งคือการเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองของ เจเจ กับ เจมส์ ที่ปรับมาใช้ชื่อเป็น เจเลอร์ กับ เจมมี่เจมส์ เวลาที่ให้สัมภาษณ์ในฐาน 9×9 แม้ว่าพวกเขาจะเคยใช้ชื่อนี้มาก่อนแล้วก็จริง แต่การที่เจ้าตัวจงใจเรียกชื่อนี้ นอกจากการสร้างคาแรคเตอร์ให้แตกต่างจากฐานะปกติของทั้งสองคนแล้วชื่อทั้งสองนี้ก็พ้องกับไอดีอินสตาแกรมของทั้งสองคนอีกด้วย
ในยุคนี้ที่มีเซเล็บมากมาย ที่ดังหรือดราม่าเพียงชั่ววูบด้วยสื่อสังคมออนไลน์ คนในวงการบันเทิงแทบทุกเจ้าจึงโฟกัสกับการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ในเร็วๆ นี้ก็คงจะเป็นการมาถึงของวง BNK48 ที่เน้นตีตลาดออนไลน์อยู่ระยะใหญ่ และแม้ว่าจะติดลมบนไปแล้ว สมาชิกรุ่นที่เข้ามาใหม่ก็ยังโฟกัสกับการสร้างฐานแฟนผ่านโลกออนไลน์อย่างเหนียวแน่น ซึ่งทางสมาชิกของ 9×9 ก็ให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งว่า พวกเขารับทราบฟีดแบคและติดตาม Hashtag ต่างๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต แถมยังนำมาเอามาล้อเลียนตัวบ้าง (อย่างเช่น กรณีของผมบังตาของฉี ในเลือดข้นคนจาง) และในบางครั้งพวกเขาก็ปล่อยเซอร์วิสผ่านการไลฟ์ออนไลน์เพื่อเอาใจแฟนๆ อยู่หลายครั้ง
การวางตัวในออนไลน์ให้โดดเด่นก็ยังสอดคล้องกับการข้ามกำแพง ‘ค่าย’ ด้วย เพราะถ้าอาศัยแค่สื่อหลักอย่างเดียว 9×9 อาจข้ามช่องโทรทัศน์ไปได้ไม่มากนัก (นึกภาพนักแสดงละคร เลือดข้นคนจาง ไปโปรโมตในรายการช่องเก้าการ์ตูนดูนะครับ มันดูผิดที่ผิดทางเกินไปเยอะเลยล่ะ) แต่ถ้าเป็นในสื่อออนไลน์แล้ว กำแพงค่ายของสื่อจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดและยังตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ต่อให้สมาชิกแต่ละคนแยกย้ายกันไปโปรโมต ไม่พูดถึงชื่อ 9×9 เลย แต่ด้วยการระบุชี่อที่แปลกกว่าปกติและพ้องกับไอดีสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง อินสตากแกรม หรือ ทวิตเตอร์ ก็มีโอกาสสูงที่คนดูแบบเราๆ ท่านๆ จะตามไปดูชีวิตของเขาต่ออีกนิดแล้วสุดท้ายก็จะได้รับรู้ความเป็นวง 9×9 ไปในที่สุด
และการที่มีคนจำนวนมากคอยติดตามสื่อสังคมออนไลน์ของสมาชิกวง 9×9 ก็จะเป็นการปูทางไปสู่การจัดอีเวนต์ต่างๆ ในภายหลัง แล้วถ้าพวกเขาโดดเด่นมากพอที่จะสร้างปรากฎการณ์ห้างแตกได้ คราวนี้ ฝั่งสื่อหลักก็จะเชิญพวกเขาในฐานะ ‘นักร้องบอยแบนด์’ 9×9 ข้ามพ้นการเป็นนักแสดงที่จำกัดที่อยู่ในสถานีโทรทัศน์ของตัวเองไปในที่สุด
แต่ต่อให้สื่อหลักไม่เออออด้วย การประกาศผ่านโลกออนไลน์ว่าวงนี้มีกำหนดเวลาปิดวงที่ชัดเจน ก็น่าจะสร้างกระแสความรู้สึก ‘เสียดายต้องรีบไปดู’ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส คล้ายๆ กับที่ Produce 101 ของเกาหลีใต้ตีตลาดแฟนเพลงในหลายๆ ประเทศมาแล้วนั่นล่ะ
9×9 ไมใช่บอยแบนด์โปรเจกต์เดียวของทาง 4Nologue
สิ่งที่เราสนใจคือ แผนงานนี้ไม่ได้เป็นแผนงานเดียวของทางหัวเรืออย่าง 4NOLOGUE พวกเขาประกาศตั้งแต่ต้นปี 2018 แล้วว่า โปรเจกต์ใหญ่ของพวกเขาในปีนี้คือ ‘5-7-9’ ซึ่งตัว 9 ก็คือ 9×9 ส่วน 7 นั้นเป็นทัวร์คอนเสิร์ตของ GoT7 ที่ถือว่าเป็นงานถนัดของ 4NOLOGUE อยู่แล้ว
ส่วนเลข 5 นั้น มาจากวง SBFIVE ที่นำเอาดาราจากซีรีส์เดือนเกี้ยวเดือน มารวมตัวกันเป็นวงบอยแบนด์ และมีค่ายเพลง LoveIs เป็นผู้ดูแลในฐานะการเป็นนักร้อง ซึ่งเป็นการจับเอานักแสดงที่มีเคมีเข้ากันมาฝึกร้องเพลงมากกว่า การตลาดในไทยอาจเน้นให้แฟนคลับของซีรีส์มาติดตามกันมาอย่างต่อเนื่อง และในฝั่งนอกประเทศอย่างใน จีน หรือ ไต้หวันก็นิยมชมชอบวงนี้ระดับที่มีอีเวนต์ไปจัดอยู่บ่อยครั้ง
และเมื่อเป็นการเดินเกมการตลาดที่ไม่ได้ทับไลน์กันโดยตรง ก็ถือว่าเป็นการพยายามขายของแบบลดความสุ่มเสี่ยง หากมีโปรเจกต์ไหนผิดพลาดไป ก็สามารถปรับแผนงานอื่นให้เกื้อหนุน หรือทำให้บริษัทไม่ต้องเจ็บตัวมากนัก
แต่สุดท้ายแล้ว ต่อให้มีแผนรัดกุมขนาดไหน พอถึงเวลาลงสนามจริง แผนการต่างๆ อาจไม่ได้ส่งผลตามที่คาดไว้ก็ได้ โปรเจกต์ 9×9 และโปรเจกต์บอยแบนด์อื่นๆ ที่พยายามจะผลักดันตลาด T-Pop ให้ไปไกลสู่กระแสโลกจะประสบผลสำเร็จอย่างดีหรือไม่ ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปในอนาคต
อ้างอิงข้อมูลจาก