“ฉันบอกคุณทุกอย่าง แต่คุณไม่เคยทำเช่นเดียวกับฉันเลย”
ทุกคนล้วนเคย ‘ลืม’ ไม่ว่าจะลืมของ ชื่อคน หรือการบ้าน ซึ่งมักเกิดจากความไม่ตั้งใจ แต่เชื่อว่ามีหลายคนที่ต้องการจะลืมบางอย่างด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะความทรงจำที่เราไม่ต้องการ เพราะมันอาจจะน่าอาย หรือแม้กระทั่งเจ็บปวดเกินจะทนไหว
ทว่าต้องยอมรับว่า การหลีกหนีจากความรู้สึกนึกคิดที่เราอยากสลัดมันทิ้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนเราไม่เคยประสบพบเจอกับมันมาก่อน ยังไม่สามารถทำได้ในห้วงเวลานี้ เราทุกคนเลยพยายามหาวิธีมากมาย เพื่อให้ความทรงจำที่อยากจะลืมเจือจางมากที่สุดเท่าที่ทำได้
อย่างไรก็ตาม ผู้คนใน Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) หนังโรแมนติก-ไซไฟ สามารถทำความทรงจำให้หายไปได้ไม่ต่างกับการหาหมอเพื่อรักษาอาการป่วยธรรมดาทั่วไป ซึ่งความน่าจดจำของหนังเรื่องนี้ที่มอบให้แก่ผู้ชม คือการฉายภาพให้เห็นถึงการโลดแล่นอยู่ในความทรงจำที่กำลังถูกทำให้หายไปตลอดกาลของตัวละครหลัก
ในวาระครบรอบ 2 ทศวรรษของหนังเรื่องดังกล่าว The MATTER จึงชวนย้อนระลึกถึงเรื่องราวความรักอันขมขื่นใน Eternal Sunshine of the Spotless Mind กัน
*บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาของ Eternal Sunshine of the Spotless Mind
ได้โปรดให้ฉันเก็บความทรงจํานี้ไว้
จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) รับบทเป็น โจเอล บาริช (Joel Barish) คนเก็บตัว ขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด มักจะแสดงความรู้สึกผ่านการจดบันทึกและวาดภาพ ก่อนจะตกหลุมรักกับผู้หญิงที่มีรสนิยมและลักษณะนิสัยตรงข้ามกับเขาเกือบแทบจะทุกอย่าง เธอคนนี้เปิดเผย โผงผาง พูดทุกอย่างที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมา และมักเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการทันที ชื่อของเธอคือ คลีเมนไทน์ ครูซซินสกี้ (Clementine Kruczynski) แสดงโดย เคท วินสเล็ต (Kate Winslet)
ความต้องการตรงกันข้ามกลับกลายเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ปรารถนาจากกันและกัน จนเกิดเป็นมิตรภาพและความรักในที่สุด ทว่าทุกความสัมพันธ์นั้นมีทั้งสุขและทุกข์ โจเอลได้ค้นพบว่าคลีเมนไทน์ไม่รู้จักเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอตัดสินใจเข้ารับการลบความทรงจำกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีดังกล่าว เพราะเธอรู้สึกทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ที่เธอมีร่วมกับโจเอลอีกต่อไป
โจเอลจึงตัดสินใจที่จะทําเช่นเดียวกัน และเนื้อเรื่องโดยส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในสมองของเขานั่นเอง กับการพาเราย้อนกลับไปในครั้งที่โจเอลและคลีเมนไทน์เริ่มคบหากัน ซึ่งโจเอลเองก็ตระหนักรู้ว่าเขากำลังอยู่ในกระบวนการลบความทรงจำ และสิ่งที่โจเอลประสบ คือภาพของเรื่องราวมหาศาลที่ผสมปนเประหว่างความจริง ประสบการณ์ กับความรู้สึก ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างไม่เป็นเส้นตรง คล้ายกับความฝัน แต่กลับเป็นความฝันที่เขารู้สึกตัว และเหมือนนำตัวเองในปัจจุบันไปเฝ้ามองอดีต
การเคลื่อนย้ายของโจเอลหลักๆ เกิดจากกระบวนการลบความทรงจำ ซึ่งถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ที่พยายามเสาะหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคลีเมนไทน์และลบมันทิ้ง อย่างไรก็ตาม ขณะที่โจเอลเดินทางไปเรื่อยๆ เขากลับรู้สึกคิดถึงและเสียดายความทรงจำที่มีร่วมกับคลีเมนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นขณะที่มีความสุข เบื่อหน่าย หรือโกรธกัน เพราะเขาตระหนักได้ว่า ‘เขายังคงรักเธอ’
โจเอลจึงตัดสินใจดิ้นรนต่อต้านขั้นตอนการลบความทรงจำด้วยการจูงมือแฟนของเขาไปด้วย เพราะไม่ต้องการให้เธอหายไป เขาพยายามทั้งหนีและหลบซ่อน ถึงขนาดจำยอมพาเธอไปในช่วงวัยเด็ก ช่วงเวลาที่เขาอยากจะลืมเพราะมันทั้งเจ็บปวดและน่าอาย แต่เขาก็พาเธอไปเพื่ออยากหลีกหนีให้พ้น รวมถึงต้องการให้คลีเมนไทน์ที่ดำรงอยู่ในหัวของเขาได้รู้จักเขามากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากโจเอลเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ความรักครั้งนี้ต้องจบลงเพราะการไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขาต่อคลีเมนไทน์
โจเอลจึงพยายามสื่อสารและเคลียร์ใจกับคลีเมนไทน์ให้มากที่สุด แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอคนนี้ไม่ใช่คลีเมนไทน์ตัวจริงก็ตาม สิ่งที่โจเอลทำเหมือนเลยเป็นการตอกย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า ว่าการเปิดเผยด้านที่เขาพยายามซ่อนมันไว้ออกมาบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร นอกจากนี้ โจเอลยังเหมือนรู้จักคลีเมนไทน์มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย เพราะตลอดที่ผ่านมาเขาไม่ทันสังเกตว่า นิสัยหุนหันพลันแล่นและการพูดซ้ำซากของเธอนั้นเกิดมาจากความต้องการอยากรู้จักตัวตนของเขามากขึ้นก็เท่านั้น และที่สำคัญเธอก็ไว้ใจเขาถึงขนาดยอมเปิดเผยทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
หากมองลึกลงไป เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรือถูกอย่างแท้จริง ทั้งคู่แค่เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจเป็นของตัวเอง ตัวตนและความรู้สึกก็ย่อมจะต้องต่างกันอยู่แล้ว โจเอลมองว่า ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยการพูดออกมาตลอด ตรงกันข้ามกับคลีเมนไทน์ที่รู้สึกว่า ความรักคือการเปิดเผยกันอย่างตรงไปตรงมา
“คุณไม่บอกอะไรฉันเลย โจเอล ฉันเป็นคนเปิดเผย ฉันบอกคุณทุกอย่าง แม้แต่เรื่องน่าอับอาย”
โจเอลที่หลับใหลได้ผจญภัยกับคลีเมนไทน์อย่างสุดเหวี่ยง ภาพตัดไปตัดมาระหว่างความจริงกับเหนือจริง ทั้งคู่เดินคุยกันอยู่ดีๆ ก็ไปโผล่อยู่บนเตียงที่ตั้งอยู่กลางชายหาดที่ปกคลุมด้วยหิมะ และสักพักพวกเขาก็ถูกดึงไปที่ห้องนอน และอีกมากมาย ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ล้วนเคยเกิดขึ้นจริงและไม่จริง จนเรื่องดำเนินไปใกล้ถึงตอนจบ โจเอลที่กำลังอิ่มเอิบกับความสุข และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้คลีเมนไทน์หายไป เริ่มตระหนักได้แล้วว่า เขาไม่สามารถยับยั้งกระบวนการลบความทรงจำได้ โจเอลจึงเลือกที่จะปล่อยใจและเพลิดเพลินไปกับความทรงจำที่ยังคงเหลืออยู่ให้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับเธอจนหมดสิ้น
ทุกความทรงจําถูกประกอบสร้างเป็นตัวเรา
‘Eternal Sunshine’ มีความหมายว่า ความสุข ความสงบสุข และ A Spotless Mind แปลตรงๆ ว่า ‘จิตใจที่ไร้ที่ติ’ หรือการปราศจากความทุกข์และความเศร้า ซึ่งแค่ชื่อของหนังก็บอกพล็อตหลักของเรื่องแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการจบลงของเรื่องราวที่โจเอลกับคลีเมนไทน์ตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งคู่อีกครั้งก็เกิดคำถามว่า ในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ไม่มีทางมีจิตใจที่ไร้ที่ติ?
แม้ว่า 3 ปี หลังจาก Eternal Sunshine of the Spotless Mind ออกฉาย มีนักวิจัยพบว่า การฉีด ‘ยาความจําเสื่อม’ สามารถช่วยลบเลือนความทรงจําที่ไม่พึงประสงค์ได้ จากนั้นในปี 2009 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ก็ประสบความสําเร็จในการลบความทรงจําของหนู โดยการฉีดสารพิษเข้าไปในต่อมทอนซิล จนปัจจุบันนักจิตวิทยาและนักประสาทวิทยาทั่วโลกก็ค้นพบวิธีการต่างๆ มากมายในการจัดการกับความทรงจํา
แม้นักวิจัยชี้ว่าเทคโนโลยี memory-erasing นี้จะประสบความสำเร็จในหนู แต่การจะใช้กับมนุษย์กลับมีข้อท้าท้ายมากมาย และมองว่าการลบเลือนความทรงจำควรใช้กับผู้ที่จำเป็นจริงๆ เช่น ผู้ที่มีอาการผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) ทั้งนี้ ชีน่า จอสเซลิน (Sheena Josselyn) นักประสาทวิทยา ชี้ว่าการลบความทรงจำอย่างที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องดังกล่าวไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะทุกความทรงจำที่ไม่ใช่ความทรงจำซึ่งกระทบกับการใช้ชีวิตล้วนสำคัญ การตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวตนของเราได้เลย
หากไม่เจ็บปวด ก็ไม่มีทางรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ท้ายที่สุด หลังจากความทรงจําของทั้งคู่ถูกลบไปแล้ว โจเอลและคลีเมนไทน์ก็พบกันอีกครั้งที่สถานีรถไฟ มอนทอก (Montauk) ที่ซึ่งจะพาพวกเขาไปยังชายหาดที่พวกเขาพบกันครั้งแรก ทั้งคู่เจอกันและเริ่มสานสัมพันธ์กันอีกครั้งในฐานะคนแปลกหน้า คุยกันเรื่อยเปื่อยราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งถือเป็นตอนจบที่เขาหลายๆ คนคงคาดหวัง แต่หนังดันเล่นกับใจคนดูจนวินาทีสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นไม่นานทั้งโจเอลและคลีเมนไทน์ก็พบเข้ากับเทปที่บันทึกเสียงของพวกเขาก่อนที่จะเข้ารับการลบความทรงจำ ซึ่งล้วนเป็นคำพูดที่ทั้งคู่ต่างพ่นความเกลียดชังที่มีต่อกันออกมา
แม้ว่าโจเอลและคลีเมนไทน์จะตกใจต่อการรับฟังคำพูดเชิงลบที่มีต่อกัน แต่พวกเขากลับอยากที่จะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง กล้าที่จะเปิดรับส่วนที่เลวร้ายที่สุดของกันและกัน และนำมาเป็นบทเรียนต่อความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้ ทั้งคู่เพียงพูดออกมาว่า “โอเค” พร้อมกับร้องไห้และหัวเราะใส่กัน ไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เพียงแค่จ้องมองกันและกันเท่านั้น
Eternal Sunshine of the Spotless Mind เลยเป็นหนังที่เสนอตรงๆ ว่า ‘ชีวิตที่มีแสงแดดสาดส่องเพียงอย่างเดียวนั้นไร้ความหมาย’ และเราอาจไม่มีทางรู้สึกซาบซึ้งกับความรักที่อยู่ต่อหน้า จนกว่ามันกำลังจะหายไปตลอดกาล