(คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์)
ผู้ลี้ภัย เชื่อว่าเป็นคำที่หลายท่านได้เห็นตามหน้าข่าวอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังอาจมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นก็เหมือนจะไปอาศัยพื้นที่ของประเทศอื่นอยู่แทนบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วยปัญหาประการใดสักอย่างที่ไม่ชัดเจนนัก
ถ้าลองย้อนมาดูความหมายของคำว่าผู้ลี้ภัย ตามเว็บไซต์ของ Amnesty ที่ได้ยกนิยามของผู้ลี้ภัยมาจากอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ปี ค.ศ.1951 ที่ระบุว่า ‘ผู้ลี้ภัยหมายถึงกลุ่มคนที่เดินทางออกจากประเทศของตนเนื่องจากสงคราม ความรุนแรง การประหัตประหาร หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา หรือความคิดเห็นทางการเมือง’ ก็ทำให้คิดต่อได้ทันทีว่า เรื่องราวการลี้ภัยอาจมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
หากติดตามข่าวสารของคุณวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หลายท่านน่าจะได้รับทราบมากขึ้นว่า ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีผู้ลี้ภัยอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่ชาวโรฮิงญาที่เป็นมุสลิมกลุ่มน้อยในประเทศพม่าที่เห็นตามข่าวบ่อยๆ เท่านั้น แต่คนท้องถิ่นในหลายประเทศก็ต้องลี้ภัยและเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็น ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Asylum Seekers) ก่อนที่จะได้ประเทศอื่นรองรับสถานะเป็น ‘ผู้ลี้ภัย’ โดยสมบูรณ์อีกทีหนึ่ง
ด้วยความที่เรื่องราวของผู้ลี้ภัย นั้นมักมีความซับซ้อนอยู่สักหน่อย ทำให้หลายท่านอาจต้องใช้เวลานานสักหน่อยในการทำความเข้าใจกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งจากข้อมูลในปี ค.ศ.2019 พบว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนมากกว่า 70 ล้านคนแล้ว เราจึงอยากจะแนะนำภาพยนตร์สายบันเทิง และภาพยนตร์สายสารคดี ที่จะทำให้เราได้ทำความเข้าใจก้าวแรกเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ก่อนที่จะติดตามหาข้อมูลทำความเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้นในภายภาคหน้า
The Terminal
เริ่มต้นกันด้วยหนังบรรยากาศเบาใจอย่าง The Terminal ที่เล่าเรื่องของ วิกเตอร์ นาวอร์สกี้ (Viktor Narvorski) นักเดินทางจากประเทศ Krakozhia (ประเทศสมมุติ) ที่มาติดอยู่ในสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในกรุงนิวยอร์ก เพราะเกิดสงครามกลางเมืองในแดนมาตุภูมิของเขา ทำให้วิกเตอร์ตกอยู่ในสภาวะคนไร้รัฐและไม่สามารถเดินทางออกจากสนามบินเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งระหว่างนั้นเขาได้พบกับเรื่องราวอบอุ่นหัวใจหลายประการ รวมถึงการได้มีพบกับ อมิเลีย วาร์เรน (Amelia Warren) พนักงานสายการบินสาวที่มาช่วยเหลือวิกเตอร์ในช่วงเวลายากลำบาก
ถึงตัวภาพยนตร์จะออกมาน่ารักน่าลุ้น ตามเป้าประสงค์ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่เป็นผู้กำกับ แต่สำหรับชีวิตจริงของ เมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี (Mehran Karimi Nasseri) ชายที่เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์ในหนังนั้นกลับไม่ได้ออกมาน่ารักเช่นนั้น
เมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี หรือ เซอร์ อัลเฟรด เมฮ์ราน เป็นชายเชื้อสายอิหร่านซึ่งติดอยู่ที่สนามบิน Charles de Gaulle หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Roissy Airport ในประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ.1988 ถึงปี ค.ศ.2006 หรือราวๆ 16 ปี จุดเริ่มต้นในการมาอาศัยอยู่ในสนามบินของประเทศฝรั่งเศส เมฮ์รานอ้างว่า เขาได้ถูกเนรเทศออกมาจากอิหร่าน เพราะตัวเขาเคยเข้าร่วมการประท้วง ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Shar Mohammad Reza Pahlavi) ในปี ค.ศ.1977
เราต้องขอเท้าความเสียหน่อยว่า ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ชาห์องค์สุดท้ายที่ปกครองอิหร่าน ที่ทรงเปิดการ ‘ปฏิวัติขาว’ หรือการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบชาห์ มาเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ทว่ามีตระกูลที่ใกล้ชิดชาห์ได้รับผลประโยชน์เป็นหลัก จนมีการประท้วงจากประชาชน และมีการขับไล่กลุ่มคนที่ประท้วงชาห์ ก่อนจะลงเอยด้วยการที่ประเทศอิหร่านเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นรัฐอิสลามในปี ค.ศ.1979
ส่วนชีวิตของเมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว หลังจากถูกขับไล่ออกจากอิหร่านก็ได้รอนแรมในค่ายผู้ลี้ภัย ตามหลายประเทศในทวีปยุโรปก่อนจะได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากทางสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในปี ค.ศ.1981 อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวระบุว่ามีมารดาเป็นชาวสก็อตแลนด์ จึงอยากจะอพยพไปตั้งรกรากในสหราชอาณาจักร แต่ระหว่างการเดินทางไปนั้นเขาระบุว่าได้ถูกขโมยกระเป๋าที่มีเอกสารยืนยันตนไป ทางการของอังกฤษจึงปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าประเทศ เขาเลยต้องกลับมาติดอยู่ที่สนามบินในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาเขาก็โดนจับกุมก่อนจะถูกปล่อยตัวด้วยเหตุผลว่าก่อนหน้านั้น เมฮ์รานเข้าประเทศมาอย่างถูกกฎหมาย และเมื่อไม่มีประเทศต้นทางให้ไปต่อ จึงเกิดภาวะปฏิทรรศน์ทางสัญชาติขึ้น และเขาจึงตัดสินใจอาศัยอยู่ในอาคารเทอร์มินอลแห่งที่หนึ่งของสนามบิน Charles de Gaulle ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม ปี ค.ศ.1988
ในช่วงเวลาราว 18 ปี เมฮ์ราน คาริมี แนสเซรีได้รับการช่วยเหลือด้านปัจจัยสี่ ทั้งจากบุคคลต่างๆ ที่ทำงานหรือเดินทางไปยังสนามบิน Charles de Gaulle รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากนักเคลื่อนไหวทางสังคมทั้งในประเทศฝรั่งเศส กับประเทศเบลเยี่ยมที่เปิดทางให้เขามาเป็นผู้อพยพในประเทศอย่างเต็มตัว แต่ตัวของเมฮ์ราน ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวมาโดยตลอด และแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนว่าเขาจะเดินทางไปอังกฤษเท่านั้น แต่สุดท้าย ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นเขาจึงถูกนำตัวไปรักษาภายใต้การดูแลหน่วยงาน Emmaus International องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่เคลื่อนไหวทางสังคมในด้านดูแลคนไร้บ้านและผู้ลี้ภัย ทำให้เมฮ์รานก็ยังคงอาศัยอยู่ในกรุงปารีสในสถานะคนไร้รัฐ นับจนถึงเวลาที่เขียนบทความนี้
อย่างไรก็ตาม ได้มีการตรวจสอบประวัติของเมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี จากหลายฝั่งและมีการพบว่า ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วจริงๆ แต่ชีวิตหลายส่วนก่อนหน้านั้นก็มีการบอกเล่าที่ไม่ตรงกัน อาทิ เขาเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว แต่เมื่อตรวจสอบไปที่อิหร่านก็พบว่าครอบครัวของเขายังอยู่ดี และเคยไปศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษจริง รวมไปถึงว่าเจ้าตัวอาจจะไม่ได้ถูกเนรเทศแต่ตัดสินใจเดินทางผันตัวมาเป็นผู้ลี้ภัยเอง
กระนั้น เรื่องราวของเมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี ก็เป็นการจุดประกายให้หลายคนได้สนใจกับภาวะ ‘ผู้ลี้ภัย’ ที่มักจะติดอยู่ในจุดที่ถูกละเลยได้โดยง่ายนั่นเอง
Hotel Rwanda
อีกภาพยนตร์ที่อยู่ในฟากความบันเทิงแต่ก็มีมุมมองที่น่าสนใจ เกี่ยวเรื่องราวผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยก็คือ Hotel Rwanda ภาพยนตร์ที่มีเค้าโครงเรื่องจริงมาจากชีวิตของ พอล รูสเสซาบาจินา (Paul Rusesabagina) ที่เป็นผู้จัดการโรงแรม ในช่วงปี ค.ศ.1994 ก่อนสงครามกลางเมืองในประเทศรวันดา ที่มีชนวนความขัดแย้งระหว่างขาวทุตซี (Tutsi) กับชาวฮูตู (Hutu) ที่ขัดแย้งมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงเครื่องบินที่มีประธานาธิบดี จูเวนัล ไฮเบียรีมานา (Juvénal Habyarimana) ของประเทศรวันดา กับ ประธานาธิบดี ไซเปรียน ทายามิรา (Cyprien Ntaryamira) ของประเทศบุรุนดี ซึ่งทั้งสองคนต่างเป็นชาวฮูตู หลังจากมีการเซ็นสัญญาสงบศึก จนกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้กลุ่มชาวฮูตูหัวรุนแรงประณามว่ากลุ่มหัวรุนแรงชาวทุตซีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา ที่ทำให้ชาวรวันดาหลายคนกลายเป็นผู้ลี้ภัยในเวลาต่อมา
ตัวของ พอล รูสเสซาบาจินา เป็นลูกที่มีพ่อเป็นชาวฮูตู และแม่เป็นชาวทุตซี และแต่งงานภรรยาชาวทุตซีก็เหมือนยิ่งทำให้เขาเลือกจะใช้ชีวิตโดย ‘ไม่อิน’ กับการเลือกฟากฝั่งสักเท่าใดนัก และดูเหมือนนิสัยของเขาก็ยังเข้าทีกับงานเป็นผู้จัดการโรงแรมที่เขาเลือกทำอย่างดี จนทำให้ในช่วงปี ค.ศ.1994 เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการของโรงแรม Diplomates Hotel ที่กลายเป็นฉากหลักเรื่องราวบทต่อมาด้วย
เรื่องราวในภาพยนตร์ Hotel Rwanda จับเอาช่วงก่อนประธานาธิบดีจูเวนัล ไฮเบียรีมานาจะถูกสังหารเล็กน้อย และพอจะทำให้คนดูได้เห็นภาพว่าทหารของประเทศรวันดาในยุคนั้นมีอำนาจขนาดไหน และพอล รูสเสซาบาจินาก็ใช้ตำแหน่งของผู้ช่วยผู้จัดการโรงแรมระดับหรูในการเจรจาต่อรองกับทหาร กับการเออออห่อหมกกับผู้มีอำนาจการเมืองและในท้องถิ่นของสมัยนั้น เพื่อให้โรงแรมยังการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และเผื่อว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้อ้างเรื่องความช่วยเหลือต่างๆ มาต่อรองเอาชีวิตของตนกับครอบครัวให้รอดจากภัยอันตรายในอนาคต
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ทางกองทัพสหประชาชาติที่มาคุมสถานการณ์ก็ยังไม่สามารถควบคุมอะไรได้ โรงแรมของพอลจึงกลายเป็นแหล่งพักพิงของชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศรวันดา ก่อนที่จะมีคำสั่งอพยพชาวต่างชาติออกจากประเทศ ทำให้พอลตัดสินใจโยกเอาครอบครัวกับเพื่อนร่วมชาติที่เป็นกลุ่มคนรักสงบมาอาศัยอยู่ในโรงแรม และพยายามใช้กลเม็ดทุกอย่างที่มีเพื่อให้คนในโรงแรมปลอดภัยได้อย่างยาวนานที่สุด แต่สุดท้ายพอลเองก็ไม่สามารถต้านท้านความรุนแรง ทำให้พอลกับผู้รอดชีวิตในโรงแรมต้องผันตัวเองไปเป็นผู้ลี้ภัย เพื่อให้รอดตายจากการล่าสังหารจากคนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
เรื่องราวในภาพยนตร์ Hotel Rwanda จบลงที่พอลกับครอบครัวหนีไปถึงค่ายผู้ลี้ภัย กับข้อสรุปว่า เขาได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยโดยสมบูรณ์ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในประเทศเบลเยี่ยมในช่วงปี ค.ศ.1996 ส่วนเรื่องราวนอกภาพยนตร์พอล รูสเสซาบาจินายังอยู่ในประเทศรวันดาต่ออีกสองปี (ไม่ได้หนีออกนอกประเทศทันทีแบบในภาพยนตร์) แต่ได้กลับไปดูแลโรงแรมที่เขาเคยทำงานอีกระยะหนึ่งก่อนจะถูกข่มขู่ จึงทำให้เขาตัดสินใจอพยพไปยังประเทศเบลเยี่ยม ก่อนจะเขียนหนังสือ An Ordinary Man เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขาเผชิญในประเทศรวันดา เขาจึงกลายเป็นที่จดจำจากผู้คนหลายประเทศ จนทำให้ได้รับรางวัลระดับนานาชาติหลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีเสียงโต้แย้งมาจาก พอล คากาเม (Paul Kagame) ประธานาธิบดีของประเทศรวันดาหลังจากประเทศกลับมามีเสถียรภาพ ที่กล่าวหาว่า พอล รูสเสซาบาจินาไม่ได้เป็นวีรบุรุษแบบที่ภาพยนตร์ Hotel Rwanda สร้างภาพขึ้น และมีการออกหนังสืออีกมุมหนึ่งของเรื่องราวเพื่อมาค้านกับภาพยนตร์ฮอลลีวูด ทั้งนี้ตัวของพอล รูสเสซาบาจินาได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า เขาเลือกที่จะให้อภัยกับคำพูดของพอล คากาเม รวมถึงกล่าวว่า ตัวของเขานั้นไม่เชื่อว่า ชาวทุตซี กับ ชาวฮูตู ไม่เคยเกลียดชังกันขนาดที่สื่อต่างๆ หรือนักการเมืองนำเสนอ และการให้อภัยกันนั้นเป็นแนวทางที่ควรมอบให้ประเทศรวันดามากกว่า
แนวคิดอย่างหนึ่งที่น่าระลึกถึงในภาพยนตร์ Hotel Rwanda ในช่วงที่เหตุการณ์ยังไม่ตึงเครียดขั้นที่สุด ตัวละครของพอล รูสเสซาบาจินาได้ทำท่าทีเมินเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดกับผู้คนในเมือง เบือนหน้าหนีความรุนแรงที่เกิดข้างบ้าน คาดหวังว่าการคอรัปชั่นของเขาจะช่วยชีวิตได้ในสักวันหนึ่ง แต่สุดท้าย การปฏิเสธเหตุการณ์ต่างๆ ก็ทำให้เขาเสียสมาชิกครอบครัวไปไม่น้อย และสุดท้ายก็กลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปในที่สุด
Midnight Traveler
ตามปกติแล้ว เรามักจะเห็นผู้ลี้ภัย ทำการสร้างภาพยนตร์กันหลังจากที่พวกเขาได้รกรากถาวรสักระยะหนึ่ง จากนั้นก็ทำหนังที่เป็นการย้อนเล่าความรู้สึกในอดีตของตน แต่เมื่อเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป เราจึงได้มีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์ที่ ผู้ลี้ภัย เป็นผู้ถ่ายทำและทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์ โดยมีสมาชิกครอบครัวขนาดย่อมเป็นนักแสดงนำ ในภาพยนตร์สารคดี Midnight Traveler
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เป็นการนำเอาฟุตเทจที่ ฮัสซัน ฟาซีลี (Hassan Fazili) คนทำหนังในประเทศอัฟกานิสถานเก็บรวบรวมไว้ราวสองปี จากโทรศัพท์มือถือสามเครื่อง การเดินทางเริ่มต้นหลังจากที่เขาได้รับทราบจากกัลยาณมิตรว่า กลุ่มตอลิบานกำลังล่าตัวครอบครัวของเขาหลังจากที่เขาได้ทำภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้นำกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับกลุ่มตอลิบาน และได้สังหารผู้นำคนที่อยู่ในภาพยนตร์ไปแล้ว
คนดูจะได้ตามติดการเดินทางผ่านระยะทางกว่า 3,500 ไมล์ ที่ฮัสซันต้องเดินทางด้วยพาหนะและเดินเท้าผ่านไปประเทศต่าง และแน่นอนว่าการเดินทางแบบหลบหนีเช่นนี้ ไม่ได้เป็นทางเดินที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ภาพยนตร์จึงพาเราไปเห็นสภาพที่ครอบครัวของฮัสซัน ต้องเดินทางฝ่าป่าริมชายแดน, จ่ายเงินให้นายหน้าที่พาหลบหนีเข้าประเทศ, สภาพค่ายผู้ลี้ภัยที่ดูไม่ดีนัก, การตอบรับคนอพยพที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ไปจนถึงขั้นตอนที่วุ่นวายของการขอลี้ภัยแบบถูกกฎหมาย
ถึงอย่างภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอมาแบบหมดสิ้นซึ่งความหวัง ในทางตรงกันข้ามเพราะนี่เป็นการเดินทางเป็นครอบครัวขนาดห้าคน ทำให้เราได้เห็นถึงความสดใสของลูกๆ ที่มีทั้งจุดที่ชินกับการเดินทาง และจุดที่งอแงเพราะต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง ความพ่อแง่แม่งอนของสามีภรรยาที่คนดูรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งแต่ที่เจอกันในการสร้างหนัง ความเห็นต่อมนุษย์ที่มีทั้งมุมที่อ่อนโยนแบ่งปัน กับมุมที่ปิดกั้นเลือกพวกและลงเอยด้วยการทำร้าย
ที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ (นอกจากตัวโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายทำได้ดีและถึกทน) ก็คือการที่เราได้เห็นกันชัดขึ้นว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ ที่มากันเป็นกลุ่ม ไม่ได้มีแค่แรงงานไร้ทักษะ คนไร้ความรู้ หรือผู้ที่ไม่มีปัญญาทำมาหากิน อย่างที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่า หลายคนพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว หลายคนมีความรู้กฎหมายของผู้ลี้ภัยที่เข้มข้น ต่างจากภาพจำที่หลายครั้งถูกนำเสนอจากองค์กรที่ดูแลผู้ลี้ภัยเองด้วยซ้ำ
และคนเราไม่ควรจะถูกไล่ฆ่าล้างครอบครัว ด้วยการมีความเห็น หรือความชอบที่แตกต่างกัน อย่างครอบครัวของฮัสซัน ฟาซีลี ที่พวกเขาเริ่มต้นจากการถูกประณามเพราะเปิดคาเฟ่ศิลปะ ก่อนที่จะถูกไล่ล่าเอาชีวิตเพราะการทำภาพยนตร์
Born In Syria
เราเชื่อว่าหลายคนยังจดจำภาพข่าวที่มีเด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บในเมืองอเลปโป ประเทศซีเรีย กันได้อยู่ ซึ่งเราก็เชื่อว่าหลายคนอาจคิดสงสัยต่อว่าถ้าเช่นนั้นเด็กๆ ควรจะหลบหนีไปจากประเทศที่กลายเป็นสนามรบหรือไม่? และนั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์สารคดี Born In Syria ทำ โดยการพาผู้ชมไปติดตามชีวิตของเด็กเจ็ดคนที่เกิดในประเทศซีเรีย ที่กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยมีทั้งเด็กที่ยังอยู่กับครอบครัว และเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่แล้วไม่ว่าจะเป็นการจากเป็น หรือจากตายก็ตามที และมีหนึ่งในนั้นเป็นเด็กที่ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดในซีเรีย
ผ่านการให้เด็กแต่ละคนเล่าเรื่องราวผ่านมุมของตัวเอง ทำให้หลายครั้งก็มีความสดใสเล็ดรอดออกมาจากตัวตนของเด็ก แต่หลายครั้งที่ตัวหนังก็บอกเล่าปัญหาของผู้ลี้ภัยผ่านเด็กๆ อย่างการที่ต้องเสียเงินจำนวนมาก การถูกผู้คนประเทศอื่นเหยียดหยามแม้ว่าจะได้รับฐานะผู้ลี้ภัยแล้ว ฯลฯ จากความเห็นของเด็กที่มักจะมีความดิบกว่าแนวคิดที่ผ่านการพิเคราะห์มาแล้วของผู้ใหญ่ จนทำให้คนดูต้องกลับไปเรียนรู้เรื่องราวของผู้ลี้ภัยให้มากขึ้น และหนึ่งในประโยคที่ชวนร้าวรานที่สุดในเรื่องก็คงไม่พ้นคำพูดของเด็กชายที่ย้อนนึกถึงอดีตว่า “ตอนแรก ผมคิดว่าปัญหาของพวกเราคือการเดินทางข้ามทะเล แต่พอข้ามมาได้แล้ว ผมถึงรู้ว่ามันมีปัญหามากกว่านั้น”
อย่างไรก็ตามตัวภาพยนตร์สารคดีก็ถูกวิพากย์อยู่เหมือนกันว่า ตัวผู้กำกับภาพยนตร์ เฮอร์นาน ซิน (Hernán Zin) ตั้งใจจะตามรอยสารคดีเรื่องก่อนอย่าง Born In Gaza มากไปนิด และความที่เนื้อหาของภาพยนตร์สารคดีนั้นมีความสะเทือนอารมณ์อยู่มากทำให้มีข้อชวนสงสัยว่ามีการ ‘ชง’ เรื่องราวจนเกินความเป็น ภาพยนตร์สารคดี จนกลายเป็น ภาพยนตร์บันเทิงหรือไม่
แต่ก็ยากที่ปฏิเสธเหลือเกินว่า เมื่อดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จบลง คนดูน่าจะได้กลับมาครุ่นคิดถึงตัวตนของผู้ลี้ภัยมากขึ้นไม่ว่าจะนั่งดูจากมุมใดของโลกก็ตามที
Human Flow
ไอ เว่ยเว่ย (Ai Weiwei) เป็นทั้งศิลปิน และนักเคลื่อนไหวทางสังคมจากประเทศจีน ที่มักจะหยิบจับประเด็นสังคมมาบอกเล่าผ่านงานศิลปะ โดยมักจะสร้างมาแบบประชดประชัน ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนยียวนกวนบาทา แต่ออกจะเป็นการกระทำแบบแรงมาก็แรงตอบเหมือนที่เคยมีเพื่อนศิลปินให้ความเห็นว่า ‘เขารู้ดีว่าจะเล่นบทกุ๊ยยังไง …ในเมื่อรัฐบาลจีนทำตัวเป็นกุ๊ย เขาก็ต้องกุ๊ยตอบ’
และไอ เว่ยเว่ยเองก็กลายเป็นผู้ลี้ภัยคนหนึ่งเช่นกัน หลังจากที่เขาถูกรัฐบาลจีนกุมขังด้วยข้อหาไม่ชัดเจนนัก และทำให้ปัจจุบันเจ้าตัวกับครอบครัวอาศัยอยู่ในทวีปยุโรปไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเห็นภาพว่า ผู้ลี้ภัยย่อมมีเหตุและผลในการลี้ภัย ไม่ต่างจากมนุษย์หลายคนที่เลือกจะทำอะไรสักอย่างนึง
ดังนั้นภาพยนตร์ Human Flow ที่ไอ เว่ยเว่ย รับตำแหน่งผู้กำกับจึงมีการถ่ายทอดออกมาอย่างละมุนละม่อมกว่างานศิลป์ที่เขาเคยจัดแสดง และพาให้คนดูรู้สึกเข้าใจว่าการเดินทางของผู้ลี้ภัยนั้นมีเหตุและผลที่จำเป็นเช่นกัน ซึ่งไอ เว่ยเว่ยไม่ได้นำเสนอแค่คนกลุ่มเดียว ตัวภาพยนตร์พาเราไปดูมุมมองในหลายประเทศ ค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่ง ผู้คนหลายเชื้อชาติ
ถึงหนังจะเล่าแบบเรียบๆ แต่เหมือนตัวไอ เว่ยเว่ยจะทิ้งข้อความที่ชวนคิดว่า ปัญหาผู้ลี้ภัยไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหของคนกลุ่มเล็ก แต่เป็นการขยับตัวของปัญหาที่ยังรอการแก้ไข และสุดท้ายปัญหานั้นจะกลายเป็นเรื่องราวที่อาจกระทบทุกคนบนโลก เหมือนดังสายน้ำที่อาจไหลนิ่งในหลายฉากของภาพยนตร์ แต่ก็มีโอกาสที่ธารากระแสน้อยจะพัฒนาเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากได้ในภายหลัง
อ้างอิงข้อมูลจาก
Paul Rusesabagina: 20 years after the Rwandan Genocide