กว่า 72 ปี แล้ว ที่ภาพยนตร์รอมคอมสุดอมตะอย่าง Roman Holiday (1953) ปรากฏบนจอเงิน ฉายให้ผู้ชมทั่วโลกได้รับชม กับภาพจำบรรยากาศความโรแมนติกและความรักที่เบ่งบานทั่วทั้งกรุงโรม
ในครั้งนี้ Roman Holiday ได้หวนคืนสู่จออีกครั้ง ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ซึ่งได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาฉายให้แฟนหนังหายคิดถึงกัน หลังจากที่เคยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมมาแล้วนับไม่ถ้วนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และนี่ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่เปิดให้แฟนหนังรุ่นใหม่ ได้ย้อนเวลากลับไปมนต์เสน่ห์ของหนังรอมคอมยุคขาวดำ พร้อมทั้งดื่มด่ำไปกับความคลาสสิกของโลกภาพยนตร์จากช่วงยุคทองของฮอลลีวูด

cr. IMDB
เมื่อพูดถึงชื่อ Roman Holiday เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ ก็อาจมีคุ้นหรือเคยได้ยินชื่อผ่านหูกันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นแฟนหนังรอมคอมตัวยง แต่สำหรับใครที่ไม่เคยรับชม หรือลืมเลือนเนื้อเรื่องของหนังไปแล้ว ก็อาจมาขอปูเรื่องย่อกันสักนิดสักหน่อยก่อนเข้าสู้เนื้อหา
เนื้อเรื่องของ Roman Holiday ว่าด้วย ‘เจ้าหญิงแอนน์’ รับบทโดย ออดรีย์ เฮปเบิร์น (Audrey Hepburn) เจ้าหญิงจากประเทศหนึ่งในยุโรป ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางทักทายประชาชนทั่วทวีปยุโรป กระทั่งมาถึงกรุงโรม ประเทศอิตาลี เธอเริ่มชักจะเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายกับตารางงานอันแสนแน่นขนัด เจ้าหญิงแอนน์จึงได้แอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นทั่วโรม จนได้พบกับ ‘โจ แบรดลีย์’ ซึ่งรับบทโดย เกรกอรี เพก (Gregory Peck) นักข่าวหนุ่มผู้กำลังตามทำข่าวเจ้าหญิงแอนน์ ทั้งคู่ได้ออกเดินทางสำรวจโรม และในขณะเดียวกัน โจก็ได้พยายามแอบถ่ายรูปเจ้าหญิงเผื่อไปทำข่าวอยู่ตลอด โดยเขาไม่รู้ตัวเลยว่า ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกอันแสนซับซ้อนก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละเล็กน้อย
ความคลาสสิกของหนังรอมคอมที่ใครๆ ต่างถวิลหา
จากเรื่องย่อที่ได้กล่าวไปข้างต้น แม้หลายคนจะยังไม่ได้รับชมภาพยนตร์ตัวเต็มกัน แต่ก็เชื่อว่าคงเริ่มเห็นเค้าโครงความเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้กันได้อย่างไม่ยาก เพราะหลายๆ องค์ประกอบที่กล่าวถึงนั้นล้วนเป็นสูตรสำเร็จซึ่งทำให้ Roman Holiday ยังคงรักษาเสน่ห์ของรอมคอมไว้ได้ แม้จะผ่านมากี่ยุคสมัย
แน่นอนว่า องค์ประกอบแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ คือเนื้อเรื่องซึ่งพร้อมพาผู้ชมดำดิ่งไปกับความรักของคู่พระนางที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในโลกภาพยนตร์ ผ่านสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ภายในหนัง อันเป็นตัวแปรสำคัญที่เปรียบได้ดั่งปุ๋ยสำหรับคอยเติมต้นรักให้เบ่งบานขึ้นทีละนิดทีละหน่อย
Roman Holiday สามารถนำเสนอพล็อตเรื่องออกมาได้ตรงตามสูตรสำเร็จของหนังรอมคอมอย่างแท้จริง ตั้งแต่เริ่มเรื่องมาด้วยความเบื่อหน่ายของเจ้าหญิงแอนน์ต่อภาระหน้าที่ของราชวงศ์ จนถึงการพบกันโดยบังเอิญกับ โจ แบรดลีย์ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีอุดมการณ์และความคิดแตกต่างกัน ฝั่งหนึ่งเที่ยวเล่นหาความสนุกสนองความต้องการของตนเอง อีกฝ่ายมีภารกิจต้องทำให้สำเร็จ จวบจนกระทั่งความรักที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางสถานการณ์อันแสนซับซ้อนระหว่างทั้งคู่

cr. Cult Following
นอกจากนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเคมีความเข้ากันอย่างลงตัวระหว่าง ออเดรย์ แฮปเบิร์น และ เกรกอรี่ เพค คืออีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งทำให้ความรักของเจ้าหญิงแอนน์และนักข่าวหนุ่มดูสมจริง จนสามารถพาให้ผู้ชมอย่างเราเชื่อได้จริงๆ ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นพรมลิขิตต่างหากที่นำพาทั้งคู่มาพบกัน รวมทั้งความรู้สึกแสนซับซ้อนมากมายซึ่งก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่ ก็ล้วนมาจากเบื้องลึกของจิตใจ อันปราศจากการปรุงแต่งใดๆ
ทั้งนี้ ไม่เพียงแค่เคมีของทั้งคู่ อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์ ซึ่งทำให้ใครหลายคนหลงรัก ก็คงต้องยกเครดิตให้กับ ออเดรย์ แฮปเบิร์น ผู้สามารถถ่ายทอดบทบาทของเจ้าหญิงแอนน์ออกมาได้อย่างมีเสนห์ แม้ว่านี้จะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอแสดง ในฐานะนักแสดงนำก็ตาม แต่เธอก็สามารถนำเสนอความไร้เดียงสา ความอ่อนโยน และความกล้าบ้าบิ่นของตัวละครเจ้าหญิงแอนน์ออกมาได้อย่างมีมิติและเป็นธรรมชาติ ซึ่งบทบาทดังกล่าวก็ได้พาให้เธอได้เข้าชิงรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด (Academy Awards) เป็นครั้งแรก แถมออเดรย์ยังสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองได้อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์สำคัญของ Roman Holiday คือการปรับเปลี่ยนภาพจำของผู้หญิงในวงการภาพยนตร์ ด้วยการนำเสนอตัวตนของเจ้าหญิงแอนน์ให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง รักอิสระ และพร้อมโบยบินสู่โลกภายนอกได้ดั่งใจนึก ต่างจากภาพของผู้หญิง ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นเพียงช้างเท้าหลังตามผู้ชาย
ฌอน แฮปเบิร์น เฟอร์เรอร์ (Sean Hepburn Ferrer) ลูกชายของออเดรย์ ได้พูดถึงบทบาทของแม่ตนเองในภาพยนตร์ ผ่านบทสัมภาษณ์ครบรอบ 70 ปี Roman Holiday กับทาง Golden Globes ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบเสมือนทางเลือกใหม่ของวงการ ซึ่งนำเสนอพลังและการเลือกทางเดินชีวิตด้วยตนเองของผู้หญิง มันถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Roman Holiday ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมมาตลอดหลายทศวรรษ อีกทั้งมันยังเป็นการช่วยปูทางไปสู่การนำเสนอภาพของผู้หญิงในภาพยนตร์ที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากขึ้นด้วย
และถ้าถามว่า จะมีสิ่งใดสามารถยืนยันได้ว่า Roman Holiday เป็นภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ในดวงใจของใครหลายคน ก็คงต้องขอยกคะแนนจากผู้ชมจากทั้ง IMDB ซึ่งให้คะแนนหนังเรื่องนี้ไปมากถึง 8 เต็ม 10 คะแนน และจากฝั่ง Rotten Tomatoes ที่มากถึง 96% มาเป็นข้อพิสูจน์เชิงรูปธรรมให้เห็นกัน ถึงความเป็นหนังรอมคอมที่ไม่ว่าจะล่วงเลยมากี่ยุคสมัย แฟนหนังก็จะยังคงหลงรักและถวิลหาตลอดมา

cr. Independent
ฉากคลาสสิกในความทรงจำของ Roman Holiday
เมื่อพูดถึง Roman Holiday นอกจากองค์ประกอบทั้งหลายที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เชื่อว่าภาพจำของใครหลายคน คงจะหนีไม่พ้นฉากต่างๆ ภายในเรื่อง อันกลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของหนังเรื่องนี้ ซึ่งแม้จะผ่านมากว่าเจ็ดทศวรรษ ผู้คนก็ยังคงจำฉากเหล่านี้ได้
สำหรับใครที่เคยชมภาพยนตร์กันมาแล้ว ลองนึกภาพดูว่าฉากแรกสุดที่จดจำกันได้คืออะไร ใช่ฉากขี่เวสป้าวนเที่ยวรอบเมืองหรือเปล่า แม้จะเป็นเพียงฉากหนึ่งที่ปรากฏเพียงไม่กี่นาทีในหนัง แต่กลับเป็นฉากทีหลายคนจดจำกันได้ดี กับฉากที่โจ แบรดลีย์และเจ้าหญิงแอนน์สลับกันขี่เวสป้าท่องไปชมทัศนียภาพรอบกรุงโรม
ยิ่งไปกว่านั้น Roman Holiday ยังเป็นหนังซึ่งทำให้ตลาดเวสป้ากลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยเช่นกัน โดยภายหลังจากที่หนังลงจอฉายไปในปี 1953 ยอดขายเวสป้าก็พุ่งสูงขึ้นทะลุไปมากกว่า 100,000 คัน แถมในช่วงทศวรรษ 1960 ก็มีภาพยนตร์กว่าอีก 60 เรื่อง นำสกูตเตอร์สัญชาติอิตาลีมาเป็นส่วนหนึ่งของหนัง จนทำให้ในปี 1970 ตัวเลขยอดขายเวสป้าทั่วโลกมีมากถึง 4 ล้านคันเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงฉากขี่เวสป้า ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงการถ่ายทอดภาพของกรุงโรมในตัวหนัง ซึ่งในยุคนั้น มีภาพยนตร์ฮอลลีวูดเพียงไม่กี่เรื่องที่ยอมบินข้ามโลกไปถ่ายทำในต่างแดน เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว นั่นจึงทำให้การนำเสนอภาพของต่างประเทศในหนังฮอลลีวูดกลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำสำคัญของเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็น ฉากบทสนทนาหน้าบันไดสเปน ฉากแหย่มือหยอกล้อในปากของประติมากรรมปากแห่งสัจจะ (Mouth of Truth) ณ มหาวิหารเซนต์แมรี่ คอสเมดิน หรือกระทั่งฉากการพบกันครั้งแรกโดยบังเอิญระหว่างเจ้าหญิงและนักข่าวหนุ่มที่โรมันฟอรัม
เหล่านี้คือสถานที่ที่ถูกนำเสนอออกมาผ่านตัวหนัง ทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งหลายคนจดจำและนึกถึงเวลาพูดถึง Roman Holiday ซึ่งมันคงจะไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่า กรุงโรม คือดารานำอีกหนึ่งคนของภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะนอกจากเสน่ห์ของออเดรย์และความเข้าขากันดีระหว่างคู่พระนางแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยว่าการจะละสายตาจากความงดงามของฉากและสถานที่ต่างๆ ภายในหนัง ถือเป็นเรื่องยากพอสมควรเลยทีเดียว
ด้วยองค์ประกอบทั้งหลายที่กล่าวไปข้างต้น ประกอบกับฉากและสถานที่ต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาภายในเรื่อง จึงเป็นจุดร่วมสำคัญซึ่งทำให้ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านมากี่ทศวรรษ Roman Holiday ก็จะยังคงเป็นหนึ่งในรอมคอมที่ตราตรึงใจผู้ชมทั่วโลกเสมอมา
และคงต้องยอมรับว่า Roman Holiday ก็มีส่วนไม่น้อยต่อการเปิดโอกาสให้หนังโรแมนติกคอมเมดี้รุ่นใหม่ๆ ได้โลดแล่นบนจอเงินสู่สายตาผู้ชมอย่างไม่ขาดสายมาจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิงจาก