“Six in the morning ไม่ต้องรีบนอน เพลินไปด้วยกันก่อน ไม่รีบร้อนไง…”
ถ้าจะหาอะไรสักอย่างมาดับความเดือดดาลของสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ก็คงต้องสาดเพลง ‘Melbourne’ ใส่แรงๆ เพราะนอกจากดนตรีและเนื้อเพลงจะชวนยิ้มตาม เอ็มวียังพาเขินจนใครต่อใครก็นำคำว่า Melbourne มาใช้บอกรักกันอีกด้วย
ที่ผ่านมาเราอาจรู้จัก ‘มอร์—วสุพล เกรียงประภากิจ’ ในฐานะนักร้องนำสุดเซอร์วง ‘Ten to Twelve’ เจ้าของเพลงดังอย่าง ภาวนา, โลกยังไม่แตก, ฟูมฟาย, ชิด หรือไม่มีที่มา แต่ครั้งนี้มอร์ในฐานะ ‘Morvasu’ ได้พักงานจากวงแล้วมาทำโปรเจ็กต์เดี่ยว พร้อมพาแฟนเพลงหลุดไปนั่งชิลริมหาดกับคนรักที่เมลเบิร์น ซึ่งนอกจากการเป็นนักร้อง มอร์ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์และโฆษณาชื่อดังหลายชิ้น
The MATTER จึงชวนเขามาพูดคุยถึงบทบาททั้งสอง และการพักเบรคจากงาน เพื่อกลับมาให้เวลากับตัวเองและโมเมนต์ตรงหน้าบ้าง
ทริปที่เมลเบิร์นพิเศษยังไง ทำไมถึงได้กลายเป็นที่มาของเพลงนี้
มอร์ : น่าจะเป็น road trip ครั้งแรกในต่างประเทศของเรา แล้วเรามีความสุขกับการอยู่ตรงนั้นมาก มันเพลินมาก เพราะเมื่อก่อนเราเป็นคนที่ทำงานหนักมาตลอด การเป็นผู้กำกับของเรามันคือการอยู่กับอนาคตไปเรื่อยๆ มันเลยเป็นครั้งแรกที่เราสามารถอยู่กับปัจจุบัน กับคนที่เรารักเป็นระยะเวลานานๆ
ไปสองคนกับแฟนหรอ
มอร์ : ใช่ครับ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าดีจัง ไม่เคยรู้สึกว่าการอยู่กับ.. พูดแล้วดูปรัชญาเลย ไม่เคยรู้สึกว่าการอยู่กับโมเมนต์ที่อยู่ตรงหน้ามันดีขนาดนี้มาก่อน พอเราไม่ได้เอางานไปทำ เราก็อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนที่อยู่ตรงหน้า อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันก็เลยพิเศษ
ตัวเริ่มดําและหน้าเริ่มแดง หรือเพราะเราโดนแดดแรงๆ
แต่เราไม่แคร์ไม่สนเพราะเรานั้นมีความสุขมากล้นMelbourne – Morvasu
ได้ยินว่ากำกับมิวสิควิดีโอเพลงนี้เองด้วย อยากรู้ไอเดียในการกำกับตอนนั้น
มอร์ : เวลาเราเป็นผู้กำกับเอ็มวี เราไม่ได้คิดภาพ เหมือนเราจะหามิติใหม่ของงานอีกทีนึง เราไม่ได้คิดว่าตอนที่เราเขียนเพลงเรารู้สึกยังไง แต่ในฐานะผู้กำกับที่ฟังเพลงนี้เรารู้สึกอะไร แล้วเราจะถอดความรู้สึกนั้น หาไอเดียเพื่อตอบให้มุมของภาพและเสียงไม่ชนกัน ให้ perspective หลากหลายขึ้น มันคือการเล่าเพลงให้ได้มุมมองใหม่ๆ สมมติคนฟังฟังแล้วนึกถึงภาพนั้น แต่เราจะไม่ทำภาพนั้น เราจะเอาความรู้สึกมาตีความเป็นภาพใหม่อีกที
ก็เลยออกมาเป็นโมเมนต์น่ารักๆ กับแฟน
มอร์ : อารมณ์ข้าวใหม่ปลามันครับ เป็น 27 สิ่งเล็กๆ ที่ชอบในตัวเธอ แต่จริงๆ นั่นไม่ใช่ไอเดียจริง มันมีอีกไอเดียซ้อนอยู่ตอนจบ พูดไปมันจะสปอยล์มั้ยนะ แต่มันคือความเพลินที่ได้อยู่กับคนรัก แม้ว่าคุณจะพยายามนับว่าคุณชอบเค้าออกมาเป็นข้อๆ เยอะแค่ไหน แต่คุณก็ลืมอยู่ดี เพราะตอนนั้นมันมีความสุขมาก
เห็นชาวเน็ตทวีตว่า ชอบตอนที่ผู้ชายลืมว่านับไปกี่ข้อแล้ว เพราะโมเมนต์กับคนตรงหน้ามันทำให้เราลืมสิ่งที่อยู่ในหัวไปหมด แล้วโฟกัสกับปัจจุบันแทน
มอร์ : ใช่ครับ ดีใจมาก มีคนเข้าใจไอเดียแล้ว
แล้วการทำงานในฐานะ ‘Morvasu’ แตกต่างไป ‘มอร์ Ten to Twelve’ ยังไงบ้าง
มอร์ : Ten to Twelve เป็นงานกลุ่มครับ มอร์วสุเป็นงานเดี่ยว งานกลุ่มก็จะมีแบ่งหน้าที่ มีคนรายงานหน้าห้อง ส่วนงานเดี่ยวก็จะเหงากว่า แต่ก็เผด็จการกว่า ซึ่งมันก็แล้วแต่คน แล้วแต่ช่วงเวลาว่าอันไหนมันเวิร์กกว่า ตอนนี้ก็สนุกดีครับ ทำงานเดี่ยวก็สนุกดี
ผลงานตอนนี้ก็จะแสดงออกถึงความเป็นมอร์ 100% เลยใช่มั้ย
มอร์ : เราไม่รู้ว่า 100% ของเราคืออะไร เราก็แค่เป็นสิ่งที่เราชอบตอนนี้
พอออกมาทำเพลงคนเดียว ได้ท้าทายอะไรตัวเองบ้าง
มอร์ : เรารู้สึกว่าบ่าเราเบามาก เพราะตอนทำ Ten to Twelve จะมีความคาดหวังว่าจะเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ เคยเป็นแบบนี้ คนเค้าชอบแบบนี้ เราก็เลยติดทำอะไรที่มันอยู่ในความคาดหวังของคนอื่นนิดนึง พอเราทำมอร์วสุเหมือนเราเป็นศิลปินใหม่ ถ้าเฟลมันก็แค่เฟล เราไม่ต้องแบกความคาดหวัง แม้กระทั่งของเพื่อนร่วมวง ไม่ต้องแบกความคาดหวังของใครเลย เราอยากทำแบบนี้ แต่มันยากตรงที่ไม่มีคนกอดคอตะลุยร่วมกันขนาดนั้น จริงๆ ก็มีแหละ ระหว่างทางก็มีคนคอยให้คำปรึกษาตลอด แต่สุดท้ายมันก็เหงานิดหน่อย เหมือนเราเดินไปคนเดียวพร้อมกับถือไฟฉายในมือ แล้วเราไม่รู้ว่าเราเดินมาถูกหรือเปล่า
งั้นก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับคนที่เราสนใจมากขึ้น ตอนนี้มีใครที่สนใจอยากร่วมงานบ้าง
มอร์ : ก็ ‘ปกป้อง จิตดี’ นี่แหละครับ เค้าเก่งมากเลย จริงๆ แล้วเพลงนี้ครึ่งนึงเราก็ให้เครดิตเค้านะ เพราะเค้าเป็นคนเรียบเรียงและโปรดิวซ์ให้เรา การทำดนตรีแบบป้องๆ ก็เลยอยู่ในเพลงเราครึ่งนึง มันคือมอร์วสุแอนด์ปกป้อง ไม่ใช่เรา 100% หรอก ในรสนิยมด้านดนตรีเราเชื่อป้องมากกว่าตัวเองด้วย
แล้วการร่วมงานกับ TangBadVoice เป็นยังไงบ้าง
มอร์ : จริงๆ แล้วโลกเรากับตั้งอยู่ใกล้กันมาก เราอยู่ในวงการโปรดักชั่นเหมือนกัน ตั้งกับเรามีโปรดิวเซอร์คนเดียวกัน โปรดิวเซอร์ที่ดูกรุ๊ปช่างภาพของตั้งก็เป็นโปรดิวเซอร์ที่เป็นพาร์ทเนอร์ในออฟฟิศเรา แฟนของตั้งกับแฟนของเราก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน โลกมันกลมมาก เราได้มีโอกาสฟังเพลง ‘เปรตป่ะ’ ก่อนที่มันจะปล่อย เราฟังแล้วก็รู้สึกว่า เชี่ย ชอบมาก จำได้ว่าวันนั้นอยู่ในห้องโพสต์โปรดักชั่น เราก็เปิดให้ทุกคนฟังใหญ่เลย พอตอนทำเพลง Melbourne เลยอยากให้ตั้งมา Feat. อยากเห็นเค้าแร็ปเพลงรักจังเลย
ในฐานะที่อยู่ในวงการเพลงมาหลายปี มองอุตสาหกรรมเพลงตอนนี้ยังไง เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
มอร์ : จริงๆ เราว่าคนฟังก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แค่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเร็วมากขึ้น เหมือน 20 ปีที่แล้วมันจะมีเทรนด์ใหม่ทุก 10 ปี แต่เดี๋ยวนี้มันเทรนด์แทบจะเปลี่ยนไปทุกๆ ปี ในฐานะคนทำเพลง เราก็แค่ต้องตามคนฟังให้ทัน ไม่งั้นเราก็จะหลงยุคนิดนึง ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ส่วนตัวถ้าเราหลงยุค บางทีคนฟังก็อาจจะรู้สึกไม่คอนเน็คกับเรา เพราะอย่าลืมว่าคนฟังเค้าไปข้างหน้าตลอดเวลา
แล้วคนฟังเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ เราจะคงความเป็นตัวเองได้ยังไง
มอร์ : เราโชคดีตรงที่เราเป็นคนชอบเสพสิ่งใหม่ๆ บางทีเทสต์เราก็เปลี่ยนไปด้วย เราเลยรู้สึกสนุกกับการปรับไปเรื่อยๆ แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าอะไรที่เราเสพมันเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา ถ้าให้เราไปแร็ปเราก็ไม่น่าจะทำได้ มือยาวไป เราเคยพยายามแร็ปให้แฟนฟัง แฟนบอกว่า กูขอร้องล่ะ (หัวเราะ)
แล้วบทบาทอื่นๆ อย่างการเป็นผู้กำกับและนักแสดง ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
มอร์ : ผู้กำกับก็ดีครับ ตอนนี้เราก็เปิดออฟฟิศชื่อ Tender Film ครับ ทำโฆษณาก็สนุกดีครับ ถือว่าเป็นรายได้หลักเลย จริงๆ เราก็โชคดีตรงที่ว่า พอเรามีอายุงานมากขึ้น ก็เหมือนเราค้นพบสไตล์ตัวเอง มันทำให้ลูกค้าที่มาหาเป็นลูกค้าที่เฉพาะทางมากขึ้น แล้วเค้าก็มาแบบที่เค้าอยากให้เราทำจริงๆ เราเลยรู้สึกโชคดีมากๆ ส่วนงานแสดงเราไม่ถือว่าเราเป็นนักแสดงเท่าไหร่ เราแค่ไม่เขินกล้อง เราแสดงออกความรู้สึกบางอย่างได้แบบไม่เขินคน แค่นั้นเลย
จากงานดนตรีสู่งานกำกับ ได้เรียนรู้จุดร่วมอะไรของสองงานนี้
มอร์ : จริงๆ แล้วสองอย่างนี้มันก็คือการเล่าเรื่องเหมือนกัน ไม่ว่าจะการทำเพลง ภาพยนตร์ หรือโฆษณา แต่แค่ออกมาคนละศาสตร์
การทำงานหลายๆ อย่างเติมเต็มอะไรให้กับชีวิต
มอร์ : สนุกดีครับ แค่นั้นเลย
สนุกแล้วเหนื่อยมั้ย
มอร์ : คือมันก็เหนื่อยแหละ อายุมากขึ้นเราก็เหนื่อยมากขึ้น 5 ปีที่แล้วเราสามารถทำงาน 2 กะได้ แต่พออายุมาก มันต้องการเวลาพัก เดือนที่ผ่านมาเราก็รับงานโฆษณาน้อยมาก เวลามีคนถามว่าเป็นไงมอร์ ช่วงนี้งานเยอะมั้ย มันจะมีบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง ถ้าเราตอบไปว่าเยอะมากเลยพี่ มันจะดูเหมือนว่าเราเป็นคนเจ๋ง เป็นคนเก่ง แต่เดือนที่ผ่าานมาเราตอบว่า อ๋อ เราเป็นผู้กำกับตกงานครับ (หัวเราะ) ช่วงนี้โปรโมตเพลง
แสดงว่างานพวกนี้ไม่ใช่งานอดิเรกที่ทำแล้วผ่อนคลาย งั้นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจริงๆ
มอร์ : การอยู่เฉยๆ ครับ จริงๆ เมื่อก่อนงานพวกนี้ก็คืองานเป็นทั้งงานและการพักผ่อนนะ แต่ตอนนี้เราต้องการการพักผ่อนจริงๆ มากกว่า พอเราทำงานเยอะๆ มันเหมือนเราเป็นคนบ้า เราไม่ค่อยชอบตัวเองตอนบ้างาน เราจะกลายเป็นคนไม่น่ารัก เป็นคนรุนแรง เกรี้ยวกราด
แล้วหลุดออกมาจากห้วงความบ้างานนั้นได้ยังไง
มอร์ : อยู่ว่างๆ ให้เยอะขึ้น ทำงานให้น้อยลง คือเราหมกมุ่นเท่าเดิม แต่ปริมาณชิ้นงานน้อยลง สมมติสมัยก่อนทำ 4 ชิ้นพร้อมกัน แล้วเราพยายามฟาดให้มันดีที่สุดทุกชิ้น ตอนนี้ก็เราก็ทำแบบชิ้นนึง สองชิ้น คือก็หมกมุ่นกับงานเท่าเดิมแหละ แต่เราแค่มีเวลาอยู่นิ่งๆ มากขึ้น มีรายรับน้อยลงแต่ก็ไม่เป็นไร
คาดหวังอะไรกับผลงานต่อๆ ไปของตัวเองบ้าง
มอร์ : ก็จะเป็นเพลงป๊อปยุค ค.ศ.2020 หมดเลยครับ จริงๆ เราก็ทำไปหลายเพลงแล้ว ค่อยๆ ทยอยอัด อัลบั้มเต็มอาจจะไม่ทันปีนี้ แต่ก็เก็บไว้หลายเพลงนะครับ ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตาจะพาไปครับ อยากรู้ว่าถ้าเราจริงจังกับการเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วเราจะไปได้ไกลขนาดไหน ส่วนงานกำกับ ไม่ได้คิดว่าจุดสูงสุดอยู่ตรงไหน แต่อยากเป็นผู้กำกับที่งานดีมากๆ คนหนึ่ง ไม่รู้จะทำได้ไหม (หัวเราะ)