Loser หรือคนขี้แพ้ในจินตนาการของคุณหน้าตาเป็นยังไง? หลายคนลงความเห็นให้ Loser หน้าตาเป็นแบบนี้!
แบบหนุ่มแว่นใน MV เพลง มนุษย์ลืม ของแสตมป์-อภิวัชร์ หรือเพลง ทางของฝุ่น ของอะตอม-ชนกันต์ หนุ่มแว่นคนนั้นคือ ‘เอ็ม – ยศวัศ สิทธิวงค์’
แต่จริงๆ แล้วผู้ชายคนนี้ เป็นมากกว่าคนขี้แพ้ เขาเป็นทั้งตากล้อง คนทำงานเบื้องหลัง ตัดต่อ กราฟิก นักวาดภาพประกอบ นักแสดง ฯลฯ และที่สำคัญ ‘เอ็ม – ยศวัศ’ คือศิลปินคนแรกของค่าย 12sumrecords (นึง-ส่อง-ซั่ม เรคคอร์ดส์) ค่ายเพลงของแสตมป์-อภิวัชร์
The MATTER เลยชวนเขามานั่งคุยกันเรื่องที่หลายคนยกให้เขาเป็นหนุ่มมาด Loser พร้อมเล่าถึงเส้นทางที่พามาสู่เพลง ‘เสาอากาศ’ และความสามารถอีกมากมายของผู้ชายคนนี้
The MATTER : เล่าถึงผลงานที่ผ่านมาของตัวเองให้ฟังหน่อย
เอ็ม ยศวัศ : เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เรารู้สึกว่าเราต้องดิ้นรน ตอนจบมาแรกๆ ก็ทำเป็นเบื้องหลัง ตัดต่อ ทำกราฟิก เป็นตากล้องถ่ายเอ็มวีของโฟร์-มด สครับบ์ แล้วก็คลิปอะไรต่างๆ ด้วยความที่ตากล้องจบมารุ่นหนึ่งก็มีหลายคน เราก็เลยลองไปทำอย่างอื่น ลองวาดภาพประกอบ ลองไปเล่นโฆษณา แล้วก็หนัง ตอนเรียนอยู่ปี 3 ไปเล่นบุปผาราตรี 3.1 หลังจากจบเรื่องนี้ มีหนังอินดี้หรือหนังนอกกระแสมาก็ลองเล่นดู หลังจากนั้นก็ทำหลายๆ อย่าง แต่ในระหว่างนั้นเราก็ยังเล่นดนตรีอยู่เพราะเราก็แต่งเพลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อยู่มหาลัยแล้ว คือเราเป็นเป็ด เป็ดที่อยากลองทำนู่นทำนี่
The MATTER : การทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแตกต่างกันไหม
เอ็ม ยศวัศ : มันใช้ตรรกะคนละแบบ ถ้าเราอยู่เบื้องหลัง เราก็จะโฟกัสเรื่องเฟรม แสง สี เสียง ถ้าเป็นเบื้องหน้าก็จะเป็นอีกโหมดหนึ่ง เหมือนเราต้องอยู่กับตัวเอง เราต้องพยายามควบคุมสมาธิ เพราะย้ายจากเบื้องหลังมาเบื้องหน้า มันก็ส่งผลต่อกันนะ เราจะพยายามไม่มองตากล้องหรือสติกเกอร์ที่แปะที่เท้า เพราะเรารู้ว่าพี่คนนี้ใช้เลนส์กว้าง เราก็จะไปคิดแทนว่าผมอยู่ตรงนี้นะ อะไรประมาณนี้
The MATTER : ทำไมพอมาอยู่เบื้องหน้า ถึงได้กลายเป็นภาพแทนของ Loser
เอ็ม ยศวัศ : เออ ก็เคยถามเพื่อนเหมือนกันว่าทำไมเราได้รับบทเป็นแต่ Loser อย่างเดียว เช่น MV ทางของฝุ่น (อะตอม ชนกันต์) เราก็เป็นพระเอกที่ต้องแพ้ หนังอิสระเรื่อง ‘นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ’ อันนั้นก็อกหักจากแฟนไปเป็น Loser ที่อินเดีย หรือแม้กระทั่งซีรีส์ ‘The Change Company’ ก็เป็น Loser เหมือนกัน
หน้าเราคงไม่สามารถไปรับบทอื่นได้ หน้าเราถูกจัดมาในรูปแบบนี้ อย่างทางของฝุ่น จริงๆ จะไปเป็นตากล้อง เสร็จแล้วเพื่อนก็โทรมาบอกว่า บอร์ดที่ไปขายลูกค้าเขาไม่เลือกเลย มึงหน้า Loser มาก ขอเอารูปไปขายได้มั้ย ปรากฏว่าส่งรูปไปคือผ่านเฉย
แล้วตอนถ่าย เจ้าของค่ายก็บอกว่า ทำไมหน้าดูจมปลักอยู่กับอดีต อยู่กับความพ่ายแพ้อะไรขนาดนั้น หน้าได้มากเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำไรเลย อาจจะเป็นเพราะหน้าเรานี่แหละ จริงๆ ทุกคนก็มีความแตกต่างอยู่แล้ว เพียงแค่สังคมส่วนใหญ่มองว่าหน้าตาแบบนี้คือ Loser
The MATTER : แล้วรู้สึกยังไงกับการที่คนบอกว่าเราเป็นหนุ่มมาด Loser
เอ็ม ยศวัศ : เวลามีคนมาพูดกับเรา เราไม่ซีเรียสนะ เรารู้สึกว่าคำว่า Loser มันมีอยู่ในทุกสังคม เรารู้สึกว่าตำแหน่งนี้มันจำเป็น เหมือนทุกคนมีมุมที่ต้องแพ้กับปัญหาที่เข้ามา เผลอๆ อาจจะเป็นเรื่องงี่เง่าเล็กๆ น้อยๆ เราว่ามันเป็นภาวะหนึ่งที่เราโดนทุกๆ อย่างพุ่งเข้ามาใส่ แต่อยู่ที่ว่าจะฮึบขึ้นมายังไง บางคนอาจจะรู้สึกดีที่บอกว่าตัวเองเป็น Loser พูดแล้วรู้สึกฮึดขึ้นมานิดนึง แต่บางคนเขาก็อยู่กับมันไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ามันชิน ทุกคนก็มีโหมด Loser กันทั้งนั้นแหละ
จริงๆ ความรู้สึกแพ้มันก็เป็นแรงผลักดันตัวเองด้วยนะ ตอนเป็นเด็กเราเป็นภูมิแพ้ เป็นคนผอม ก็จะมีเพื่อนมีญาติชอบมาแกล้งเรา ดูดิ เก็บกดตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) แล้วเราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการต่อสู้ ก็อยากเอาชนะตัวเองบ้าง เลยหันไปเรียนคาราเต้เพื่อป้องกันตัวและทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
ทุกวันที่เรียนคาราเต้เราก็ท้าดวลกับคนที่คิดว่าแน่สุดในยิม สลบบ้าง โดนชกบ้าง จนเรารู้สึกว่ามันมีจังหวะที่เราอัพตัวเองขึ้นมาว่าเราจะไม่ยอมโดนชกแล้ว มันต้องหาวิธีให้ได้ ม.ปลาย เราก็ได้เหรียญทองแชมป์ประเทศไทย
The MATTER : จากพระเอก MV มาเริ่มเล่นดนตรีได้ยังไง
เอ็ม ยศวัศ : จริงๆ เล่นตั้งแต่ตอนเด็กที่บ้านเชียงรายแล้ว พ่อให้เล่นดนตรีชิ้นแรกคือ ซึง เล่นมาเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่ามันไม่เท่เลย อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง เลยลองไปจับกีตาร์ ฝึกตีคอร์ดเพลงพี่เสก-โลโซ จนเริ่มรู้ว่าสนุกก็เลยขอแม่ซื้อกีตาร์ไฟฟ้าตอนอยู่ ป.4 จากนั้นฟอร์มวงที่โรงเรียน เล่นกันมาสักพักก็ติดใจ
พอเข้ามัธยม จะมีชมรมดนตรีออเคสตร้าเลยไปลองสมัครดู เหมือนเขาจะให้เล่นดับเบิ้ลเบสกับเชลโล่เป็นเครื่องอันใหญ่ๆ มันไม่หล่ออะ ส่วนใหญ่ผู้ชายเท่ๆ ก็จะเล่นไวโอลิน สุดท้ายเราช้าไง เขาเลยให้ไปเล่นอะไรใหญ่ๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่เหมือนกับเป็นดนตรีสายคลาสสิคที่ต้องศึกษาโน๊ต ต้องอ่านโน๊ตเป็น ก็ค่อยๆ เก็บมาเรื่อยๆ
เข้ามหาวิทยาลัยเพื่อนก็เลยชวนฟอร์มวงดนตรีสากล เล่นเพลงประกวด ก็เลยเริ่มแต่งเพลงร้องเพลงตั้งแต่ตอนนั้น คือเราฝึกกีตาร์โปร่ง มันก็ต้องร้องควบคู่กันไปด้วย ตอนนั้นเรามั่นใจว่าเราร้องเพราะนะ แต่ว่าเพื่อนบอกว่ามึงร้องอะไร (หัวเราะ)
The MATTER : เข้ามาเป็นศิลปินคนแรกของค่าย 12sumrecords ได้ยังไง
เอ็ม ยศวัศ : หลังจากเรียนจบก็ไปทำงาน Production อยู่ที่ที่หนึ่ง เวลาที่ทำงานตัดต่อเหนื่อยๆ เราจะหยิบกีตาร์ขึ้นมาตีมั่วๆ ร้องเพลงที่เราแต่งขึ้นมา ไม่มีใครสนใจ แต่พี่ที่บริษัทเขาชอบฟัง ชอบคอมเมนต์ แล้วก็เลยแนะนำให้รู้จักกับพี่กล้วย (มือเบสวง Morning Surfers) พี่กล้วยฟังแล้วรู้สึกว่าเข้าท่า ก็เลยส่งเพลงให้พี่แสตมป์ฟัง นั่นประมาณ 5-6 ปีที่แล้วมั้ง
แล้วพอได้มาเล่น MV มนุษย์ลืม ก็ได้เจอพี่แสตมป์ เข้าไปคุยว่า “มีพี่ชายผมส่งเพลงนี้ให้ฟัง ชื่อเพลงว่า ‘เสาอากาศ’ พี่จำได้ไหมครับ” แล้วเขาก็ร้องเพลงท่อนฮุกมาเลย เราก็แบบ.. โห แจ๋วว่ะ!
หลังจากนั้นก็ผ่านไปสักพักหนึ่ง พี่เขาก็ทักไลน์เข้ามาว่า “พี่แสตมป์เอง ขอฟังเพลงหน่อยสิ” ตอนนั้นเราก็คิดว่า มึงอำกูปะเนี่ย (หัวเราะ) พอเขาบอกว่าได้ไลน์มาจากกล้วย เราก็ค่อยๆ ตั้งสติแล้วพิมพ์คุยกัน ส่งเพลงให้ฟัง จนเขานัดมาเจอที่ออฟฟิศ เอาเดโม่ให้ฟัง แล้วเขาก็เลือกผม แค่นั้นเลย
The MATTER : ทำงานกับแสตมป์เป็นยังไงบ้าง
เอ็ม ยศวัศ : คนมักคิดว่าพี่เขาโลกส่วนตัวสูง แต่จริงๆ คือคุยได้ทุกเรื่อง เขาสามารถที่จะคิดอะไรสักอย่างแล้วก็คิดต่อไปได้เรื่อยๆ ตอนแรกที่เปิดค่าย 12sumrecords เขาก็ทำเพลงของเขาเอง แล้วเขาก็บอกเราว่าอยากทำค่ายที่ทดลองอะไรใหม่ๆ การทำเพลงก็เหมือนกัน เขาช่วยเราเรื่องดนตรีมาก
The MATTER : มีเทคนิควิธีการแต่งเพลงยังไง
เอ็ม ยศวัศ : เราเคยมีความคิดที่อยากจะแต่งเพลงเพลงหนึ่งขึ้นมา แต่ว่าไม่รู้มุมมองของความรักมันพูดอะไรออกไปได้บ้าง เหมือนตอนนั้นเรายังไม่ค่อยอิน เราก็เลยเลือกที่จะโฟกัสเกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบ
ตอนเด็กๆ ชอบฟังเพลงพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง เพลงสับปะรด เพลงก้อนเมฆของสโมสรผึ้งน้อย ฟังตั้งแต่อนุบาล คิดว่าเป็นเพลงยุคแรกๆ ที่เราฟัง แล้วรู้สึกว่าเราอยากไปโรงเรียน เราไม่ร้องไห้
ก็เลยอยากทำเพลงที่เป็นแบบสิ่งที่ใกล้ๆ ตัวเราแล้วกัน อยากเล่าเรื่องที่มันง่ายๆ เป็นเพลงที่แต่งให้พ่อให้แม่ให้น้องชาย แต่งให้กับสิ่งของต่างๆ
The MATTER : ทำไมมาจบที่ ‘เสาอากาศ’
เอ็ม ยศวัศ : ตอนนั้นมองออกไปตรงระเบียงแล้วเห็นเสาอากาศทีวี ก็เลยนั่งเขียนเพลง เป็นเรื่องระหว่างเรากับเสาอากาศ ไม่มีเรื่องความรักเลย (หัวเราะ) มองกลับไปมันเหมือนกับพวกเพลงสับปะรด เพลงพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง อยากพูดอะไรเราก็พูดตรงๆ
ตอนที่พี่แสตมป์ถามว่าอยากทำเพลงอะไร เหมือนเราฝังใจกลับเพลงเสาอากาศ ยุคนี้ทีวีทั่วประเทศเป็นดิจิทัลหมดแล้ว เรารู้สึกว่าพอมันเป็นเสาอากาศมันน่าสนใจดี เราอยากให้มันมีชีวิตขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำ ผ่านไปก็จะเป็นแค่ Demo อันหนึ่งที่อยู่ในมือถือที่เราเก็บไว้ฟังเล่นๆ
เสาอากาศมันทำให้เห็นเรื่องราวต่างๆ ในโลกใบนี้ ทุกคนมองทีวีแต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีเสาอากาศ สัญญาณทีวีไม่ชัดก็ออกไปหมุนเสาอากาศบนดาดฟ้า เรื่องมันแย่แล้วมันก็กลับมาดีได้ เลยออกมาเป็นเพลงเสาอากาศ
The MATTER : เห็นทำหลายอย่าง คิดว่าตัวเองถนัดอะไรที่สุด
เอ็ม ยศวัศ: จริงๆ น่าจะเป็นวาดรูป จะมีแต่เรากับกระดาษ แล้วรู้สึกว่าไม่มีใครมาตัดสินเราว่าดีหรือไม่ดี เราก็แค่วาดมัน แต่เมื่อไหร่ที่เราทำงานอื่นๆ ทำเพลงก็จะมีคนฟัง ทำ MV ทำหนังก็จะมีคนดู มันหลายเงื่อนไข วาดรูปวาดแล้วจบเลย เลยรู้สึกชอบวาดรูปมากกว่า
แต่เราก็ชอบถ่ายรูป เวลาเราดูหนัง ดูทีวี ดูละคร เราชอบดูว่ามันมีองค์ประกอบแบบไหนบ้าง มันอาจจะมีผลมาจากเราที่ชอบวาดรูปที่เป็นเฟรมกระดาษเหมือนกัน การที่เราชอบถ่ายรูปมันน่าจะส่งผลต่อกัน
แต่บางทีการวาดรูปมันก็ไม่สามารถวาดได้หลังจากการออกกอง ออกกองมาเราก็อยากนอน พอเราง่วงเราเพลีย เราก็แต่งเพลงไม่ได้ การทำงานแต่ละชนิด ถ้ามันเป็นเกม มันจะต้องใช้พลังชีวิตทางกายภาพ จะทำหลายๆ อย่างพร้อมกันมันก็ยาก
The MATTER : คาดหวังอะไรกับผลงานชิ้นนี้
เอ็ม ยศวัศ : จริงๆ ทำเพลงเราก็อยากให้คนฟังร้องตามได้ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องได้ถึงล้านวิว คือเราทำเพราะรู้สึกว่าเสาอากาศมันเดินทางมากับเรานานเหมือนกัน เราอยากทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา คิดว่าคงทำไปเรื่อยๆ อยากทำเพลงต่อๆ ไป ตอนนี้ก็เริ่มทำเพลงที่สองแล้ว