ความรักในนิยามคุณเป็นแบบไหน?
สำหรับ โอลิเวีย ดีน (Olivia Dean) ความรักเป็นทั้งเรื่องของการหาเหตุผล ความวุ่นวาย ความยุ่งเหยิง การหลงใหล รวมถึงมันอาจเป็นอะไรสักอย่างที่หาคำตอบไม่ได้ แต่ละเพลงของโอลิเวียคือการค่อยๆ ทำความเข้าใจกับความรักที่หลายครั้งมักซับซ้อน ตลอดเส้นทางดนตรี เธอบอกเล่าถึงความรักทีละชิ้นส่วน ตั้งแต่เพลงแรกๆ จนถึงเพลงในอัลบั้มใหม่แกะกล่องอย่าง The Art of Loving ที่อัดแน่นด้วยความรักหลากรูปแบบในหลายสถานการณ์
โอลิเวีย ดีน สะกดคนฟังด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและลุ่มลึก ด้วยสไตล์เพลงที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างนีโอโซล (neo-soul) ป๊อป ไปจนถึง R&B เธอคือนักร้องที่อินและสนุกไปกับทุกบทเพลงเมื่อได้ขึ้นไปร้องบนเวที เธอจะวาดลวดลายอย่างสนุกสนานในเพลงที่มีจังหวะคึกครื้น วางท่าทีเรียบนิ่งเพื่อส่งเสียงอันทรงพลังในเพลงช้า แฟนชั่นของเธอก็นับว่าจัดจ้าน
สำหรับคนดู โอลิเวียคือนักร้องที่ดูมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้เปล่งเสียง

โอลิเวียเติบโตมาในย่านไฮแฮมส์ พาร์ค เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ ชื่อเต็มๆ ของเธอคือ โอลิเวีย ลอรีน ดีน (Olivia Lauryn Dean) ซึ่งเอาชื่อกลางมาจาก ลอรีน ฮิล (Lauryn Hill) ศิลปินหญิง R&B ที่แม่ของเธอชอบเอามากๆ ถึงขนาดเปิดให้ฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่ใช่แค่นั้น พ่อเชื้อสายกายอานาก็มักเปิดเพลงฟังอยู่เสมอ แถมยังชวนเธอเต้นตาม เรียกได้ว่าชีวิตของโอลิเวียห้อมล้อมด้วยเสียงดนตรีมาตั้งแต่ต้น
รากฐานทางดนตรีของโอลิเวียเริ่มจริงจังขึ้นในวัย 15 ปี เมื่อเธอตัดสินใจเข้าเรียนที่ BRIT School โรงเรียนสอนศิลปะการแสดงและศิลปะสร้างสรรค์ชื่อดังของอังกฤษ ศิลปินชื่อดังมากมายเรียนจบจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น เอมี ไวน์เฮาส์ (Amy Winehouse) อะเดล (Adele) และ RAYE แม้จะต้องใช้เวลากว่าสามชั่วโมงเพื่อเดินทางไปเรียน โอลิเวียก็เลือกที่จะไป เธอฝึกกีตาร์และเปียโนด้วยตัวเอง และเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 16
หลังเรียนจบ โอลิเวียเริ่มอาชีพในวงการดนตรีด้วยเป็นนักร้องคอรัส (backing vocalist) ให้กับวงดนตรี Rudimental จนในปี 2018 เธอได้ปล่อยเพลงของตัวเองออกมา และนับตั้งแต่นั้น โอลิเวียก็ค่อยๆ เฉิดฉายในฐานะศิลปินเดี่ยว เธอและทีมงานดนตรีผ่านประสบการณ์ปล่อยเพลงเดี่ยวและ EP ผ่านการออกทัวร์ที่บางแห่งไม่มีคนฟังเลยแม้แต่คนเดียว (โอลิเวียให้สัมภาษณ์ว่าเธอร้องเพลงให้กับพื้นที่โล่งๆ ฟัง) ผ่านการออกอัลบั้มเต็มครั้งแรก จนมาถึงตอนนี้ที่เธอได้รับเสียงตอบรับมากล้นจากผู้ฟัง เพลง Man I Need จากอัลบั้ม The Art of Loving ขึ้นแท่นเป็นเพลงอันดับหนึ่งในอังกฤษ เป็นการเปิดตัวอัลบั้มที่ไม่เคยมีศิลปินหญิงคนไหนทำได้มาก่อนนับตั้งแต่อัลบั้ม 30 ของอะเดลในปี 2021

เธอมีโอกาสร่วมงานกับศิลปินดังเช่น ลีออน บริดเจส (Leon Bridges) และ แซม เฟนเดอร์ (Sam Fender) โอลิเวียยังได้ไปเล่นในคอนเสิร์ตใหญ่ตั้งแต่ Glastonbury ไปจนถึง Coachella และในปี 2026 เธอกำลังจะได้แสดงคอนเสิร์ตที่ The O2 เวทีใหญ่ของอังกฤษที่ศิลปินต่างหวังจะได้ขึ้นโชว์สักครั้งในชีวิต
ความสำเร็จของโอลิเวียไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นปุบปับ เธอสะสมประสบการณ์ขึ้นแสดงมาตลอดหลายปี ขยำกระดาษเนื้อเพลงที่ใช้ไม่ได้ทิ้งไปก็หลายครั้ง ซึ่งเธอยืนยันว่าทุกเพลงที่เธอเขียนขึ้นมาจากเรื่องจริงของเธอเอง และเชื่อว่าการเขียนเพลงด้วยตัวเองคือหัวใจสำคัญที่เธอจะทำในฐานะศิลปิน
คงเป็นเพราะแบบนั้น เนื้อเพลงที่ว่าด้วยความรักของโอลิเวียจึงเชื่อมโยงกับคนฟังได้ทันที และกินใจขึ้นไปอีกเมื่อถูกถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงอันลึกซึ้ง ทรงพลัง และฟังดูอบอุ่น
“I’m just tryna learn you
‘Cause your love don’t come with instructions”— Password Change, Olivia Dean
หากว่าด้วยความรักเพลงแรกๆ ของโอลิเวีย ก็คงเป็นเหมือนการพยายามทำความรู้จักกับความรัก การต้องการไขคำตอบในความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่และกำลังเปลี่ยนแปลงไป เช่นในเพลง Password Change ที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่เรานึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรเมื่อนั่งข้างๆ คนรัก จูบดีไหม หรือแค่ขอจับมือก็อาจจะมากไป หรือเพลง Reason To Stay ที่เป็นการร้องขอเหตุผลหากอีกฝ่ายอยากให้อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่มีก็พร้อมจะไป
แต่แล้วความรักก็มีวันต้องจบลง ใน EP ที่โอลิเวียให้ชื่อว่า Growth เธอบอกเล่าถึงการเลิกราและการหวังที่จะฟื้นตัวจากความร้าวราน เพลง Cross My Mind พูดถึงการรับมือกับการนึกถึงคนรักเก่าที่แวบเข้ามาในหัวเป็นบางครั้ง ส่วนเพลง Be My Own Boyfriend คือเพลงที่บอกว่า หลังจากนี้เรายืนหยัดด้วยตัวเอง ช่างหัวพวกผู้ชายหรือใครก็ตามที่ทิ้งเราไป กลับมากอดและรักตัวเอง เป็นแฟนให้กับตัวเราเองไปเลย
“Maybe it’s a little cold
But I think I could play the role ’cause
No one can love me the way I can”— Be My Own Boyfriend, Olivia Dean
ในปี 2023 โอลิเวียมาพร้อมกับ Messy อัลบั้มแรกของเธอ ที่ยังคงบอกเล่าถึงความรัก ทว่าครั้งนี้กลับเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง สับสน ทั้งการเริ่มต้นหารักครั้งใหม่ในเพลงที่ฟังดูล่องลอยแบบ UFO การตกหลุมรักอีกครั้งในเพลงทำนองสนุกและสดใสเช่น Dive

ในอัลบั้มนี้เราได้เห็นการเข้าใจในความรัก เข้าใจตัวเองมากขึ้น และมุมมองใหม่ๆ ของโอลิเวีย เช่นการให้ความสำคัญที่ว่างในความสัมพันธ์อย่าง Ladies Room ความเศร้าเสียใจของการที่เราเองเป็นคนที่เปลี่ยนไปและเลือกที่จะตีตัวออกห่างใน The Hardest Part หรือแม้แต่การปล่อยให้เรื่องรักๆ เป็นความโกลาหลวุ่นวายในเพลง Messy เพลงชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม
“I know you’re still waiting, wondering where my heart is
Pray that things won’t change, but the hardest part is
You’re realising maybe I, maybe I ain’t the same”— The Hardest Part, Olivia Dean
มาถึงอัลบั้มใหม่ล่าสุดในปี 2025 กับ The Art of Loving มาคราวนี้ โอลิเวียไม่ได้เจาะจงแค่ความสัมพันธ์ในแบบคู่รักโรแมนติกอีกต่อไป เธอเริ่มมองเห็นความรักในแง่มุมอื่น เช่นเพลง Lady Lady ที่อาจจะหมายถึงการชื่นชมเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเอง หรือ Nice To Each Other ที่บอกเล่าถึงการจะได้เจอกับเพื่อนคนใหม่ ที่เรายังไม่แน่ใจว่าจะเข้ากันได้ไหม เราอาจจะดีต่อกัน หรือร้ายใส่กันก็ได้ และยังมีเพลงที่ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่นั้นควรเรียกว่าอะไรเช่น Something Inbetween
“Just come be the man I need
Tell me you got something to give, I want it
I kinda like it when you call me ‘Wonderful’”— Man I Need, Olivia Dean
แม้จะไม่เน้นหนัก แต่เพลงที่ว่าด้วยความรักแบบคู่รักของโอลิเวียในอัลบั้มนี้ก็ยังครบรสและเติบโตขึ้นจากอัลบั้มก่อน Man I Need ที่แม้จะดูเหมือนเป็นการคลั่งรักและเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายมารัก แต่ก็มาพร้อมกับท่าทีระแวดระวัง ด้านเพลงเพลงที่ฟังแล้วเจ็บปวดก็มี A Couple Minutes ที่พูดถึงสถานการณ์ที่เราได้กลับมาเจอกับคนรักเก่า ได้นั่งพูดคุยอัปเดตเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านไปโดยไม่มีกันและกัน ก่อนจะร่ำลากันและกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง
ด้วยอายุเพียง 26 ปี โอลิเวียถ่ายทอดเรื่องราวความรักผ่านบทเพลงได้อย่างน่าประทับใจ และแสดงถึงการเข้าใจความซับซ้อนของความรัก ในเพลง I’ve Seen It เธอบอกเล่าถึงความรักหลายรูปแบบที่เธอพบเห็น ทั้งยามที่ความรักผลิบานก่อนจะจบลงด้วยน้ำตา ความสัมพันธ์ที่เธอเห็นผ่านตาในสวนสาธารณะ ความห่วงใยของพ่อแม่ หรือความเป็นไปได้ที่เราจะมอบความรักให้สักคนและได้รับรักกลับมา
ในฐานะศิลปินหญิง โอลีเวียยังมีเส้นทางดนตรีอีกไกล เราเองในฐานะคนฟังก็หวังว่าจะได้ฟังเพลงและน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปอีกนาน