จู่ๆ Riff Studio ทีมงานสร้างอนิเมชั่นสัญชาติไทยก็ได้ตกเป็นข่าวใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อมีกระแสว่า Studio Ghibli ทีมงานระดับโลกที่เคยส่งให้เรื่อง Spirited Away คว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว จะรีเมคเนื้อหาส่วนอนิเมชั่นของ‘เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ’ ที่ทาง Riff Studio เป็นผู้จัดทำ แม้เรื่องนี้จะฟังดูเป็นข่าวที่ดีมากสำหรับวงการอนิเมชั่นไทย แต่ทาง Riff Studio ก็ออกแถลงการว่าข่าวนั้นเป็นความเข้าใจผิดเล็กน้อย
ถึงเรื่องรีเมคจะเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด แต่เรื่องจริงประการหนึ่งก็คือ Riff Studio ก็เป็นหนึ่งในสตูดิโออนิเมชั่นของไทยที่มีฝีมือน่าติดตาม นอกจากเมย์ไหนฯ ที่หลายคนคุ้นเคยกันแล้ว พวกเขาก็ได้ปล่อยตัวอย่างผลงาน ‘RAAM – The Bridge To Lanka’ ออกมาให้ผู้ชมรู้สึกหวือหวากับการตีความฉากแอคชั่นของรามเกียรติ์ที่กลายเป็นอนิเมชั่นแนวกึ่งฮีโร่ดวลเดือด แถมอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็จะได้ฉายคู่กับอนิเมชั่นจากญี่ปุ่นอีก 5 เรื่องในฐานะภาพยนตร์ชุด Force Of Will ที่มีกำหนดฉายภายในปี 2018 ทั้งในประเทศญี่ปุ่น และอาจจะรวมถึงในประเทศไทยด้วย
ฝีมือมากพร้อมขนาดนี้ The MATTER อยากจะให้ทุกท่านได้รู้จักพวกเขามากขึ้น ทางเราจึงติดต่อทางทีมงานและได้เกียรติจากทาง คุณสรพีเรศ ทรัพย์เสริมศรี หรือคุณพีท กรรมการผู้จัดการ ของ Riff Studio มาให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้
The MATTER : ผลงานที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นแต่ไม่อาจจะทราบว่าเป็นผลงานของทาง Riff Studio มีอะไรบ้าง
คุณพีท : ที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะมาทำ ‘เมย์ไหน’ เราจะทำงานเซอร์วิสให้กับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่นะครับ ก็จะมีร่วมกับทาง ‘2Spot’ ผลิต Bloody Bunny series มีทำอนิเมชั่นในเกมของเยอรมันชื่อเกม ‘Risen 3’ และทำ Cinematic Trailer : Book Of Unwritten Tales 2 แล้วก็จะมีงานพวก ‘Lego Mini Movie’ ประมาณช่วง 3-4 ปีก่อน แล้วก็น่าจะมีอีกงานที่คนรู้จักเยอะเหมือนกัน คือส่วนอนิเมชั่นที่ฉายก่อนหนัง ‘มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน’
ผลงานอนิเมชั่น เรื่องสยอง 2 นาทีครึ่ง ผลงานของทาง Riff Studio ร่วมกับ Alternate Studio
The MATTER : ตอนนี้ ‘เมย์ไหนฯ’ ได้วนฉายตามประเทศต่างๆ แล้ว ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง
คุณพีท : ใช่ครับ ที่ฟีดแบ็คดีๆ ของตัว ‘เมย์ไหน’ เลยก็จะมีสองประเทศครับ ก็คือที่ ญี่ปุ่น กับ ที่ จีน ครับ
The MATTER : แล้วส่วนที่มี Studio Ghibli ให้คำชื่นชมต่อตัว ‘เมย์ไหน’ นี่มีที่มาที่ไปอย่างไร
คุณพีท : คือตอนนั้น เราได้เจอกับคุณโกโร่ มิยาซากิ (ลูกชายของ ฮายาโอะ มิยาซากิ และเป็นผู้กำกับของภาพยนตร์อนิเมชั่น Tales From Earthsea และ From Up Poppy Hill) มาเยี่ยมชมทาง Riff Studio ขณะที่มาเที่ยวเมืองไทยครับ ซึ่งก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แล้วก็เปิดอนิเมชั่นของ ‘เมย์ไหนฯ’ แล้วทางเราได้มอบ Art Book ไปด้วย เพราะคุณโกโร่ชอบตัวงานมาก แล้วเขาก็ได้แนะนำว่า Riff Studio มาถูกทางแล้ว บ้านเราควรจะทำงานอนิเมชั่นที่เป็นไทยๆ ในปัจจุบัน มีชุดนักเรียนไทย เห็นความเป็นไทยในปัจจุบันนี่ล่ะ ไม่ต้องไปทำตามของญี่ปุ่นหรืออเมริกา คือคุณโกโร่ชอบในส่วนวัฒนธรรมที่ปกติของเราในตอนนี้ครับ
The MATTER : ขอสอบถามถึงผลงานอีกชิ้นที่มีตัวอย่างออกมาอย่าง ‘RAAM’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์อนิเมชั่นชุด Force Of Will The Movie สักนิด
คุณพีท : Force Of Will The Movie เป็นการ์ดเกมของทางญี่ปุ่นที่ไปเปิดตัวทางอเมริกาจนได้รับความสำเร็จพอสมควรครับ คนก็น่าจะรู้จักกันเยอะ แล้วคอนเซปท์ของเกมการ์ดเขาจะใช้เรื่องเล่าที่เป็นแนว Fairy Tales อย่างเช่น หนูน้อยหมวกแดง, มนุษย์หมาป่า, แดร็กคูล่า เอามาทำเป็นการ์ด ทีนี้เขาก็เลยมีโปรเจ็กต์หนัง ถ้าเป็นแบบหนังไทยก็สไตล์ ‘สี่แพร่ง’ ‘ห้าแพร่ง’ ก็คือจะมีผู้กำกับหลายๆ คนทำหนังสั้นราว 15-20 นาที แล้วก็มารวมกันเป็นหนังใหญ่หนึ่งเรื่องครับทางทีมงาน Force Of Will เขาก็เหมือนจะชื่นชอบทางเรา ก็เลยเลือกเราเป็นสตูดิโอไทยเจ้าเดียวที่ทำร่วมกับผู้กำกับญี่ปุ่นอีก 5 คน รวมกับของเราจะเป็นเรื่องที่ 6 โดยที่เขาให้โจทย์มาครับ เขาใช้คำว่า ‘แคลิฟอร์เนียโรล’ หรือก็คือซูชิที่ไปเกิดที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทีนี้ทีมงาน Force Of Will The Movie ก็บอกเราว่า “ช่วยทำซูชิสไตล์ไทยให้กินหน่อย”
เราก็เลยตีโจทย์ครับว่า จากสไตล์งานของเราใน ‘เมย์ไหน’ มันออกเป็นแนวญี่ปุ่น แต่มันมีวัฒนธรรมไทยอยู่ในงานญี่ปุ่น ผมก็เลยตีโจทย์แล้วส่งเรื่องไทยๆ ไปให้ 3-4 เรื่อง แล้วเขาเลือกมาว่าเรื่อง ‘รามเกียรติ์’ น่าสนใจ ผมก็เลยตีโจทย์ลงไปอีกว่าจะทำยังไงให้เป็นสไตล์ซูชิไทย ก็เลยได้เรื่อง RAAM ที่เอารามเกียรติ์มาขยายความใหม่ ตีความใหม่ ให้เป็นแนวไซไฟ
The MATTER : เป็นเชิงสงครามอวกาศหน่อยๆ อย่างที่มีตัวอย่างปล่อยออกมาใช่ไหมครับ
คุณพีท : ใช่ครับผม แล้วเราก็เลือกตอน ‘จองถนน’ ที่จะมีตัวหนุมานกับนิลพัทมาสู้กัน ซึ่งเราคิดว่ามันน่าสนุกดีนะ พล็อตมันคล้ายการ์ตูนญี่ปุ่นดีที่มีตัวสีขาวกับตัวสีดำมาสู้กัน ก็เลยกลายเป็น ‘ราม : ถนนสู่ลงกา’ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘RAAM : Bride To Lanka’ ครับ ตัวเนื้อหาเราตั้งใจเน้นให้ผู้ชมไทยถูกใจตั้งแต่แรกเห็นก่อน ส่วนผู้ชมชาวต่างชาติถ้าเขาชอบกันก็ถือว่าเป็นกำไรของเรา
The MATTER : แล้วตัวภาพยนตร์จะฉายในปี 2018 ที่ญี่ปุ่นก่อน แล้วจะฉายในไทยด้วยไหม
คุณพีท : ตอนนี้ยังไม่แน่ใจกำหนดการนักครับ แต่จะฉายในโรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นแน่ๆ ส่วนในไทยก็อยากจะเหมือนกัน อาจจะฉายทางอินเตอร์เน็ตอีกทีครับ
The MATTER : คิดว่าในไทยจะมีช่องทางไหนให้ทำอนิเมชั่นแบบออริจินอลของตัวเองบ้างหรือเปล่า
คุณพีท : จริงๆ ความฝันของทาง Riff ก็คืออยากทำหนังใหญ่ที่เป็นคอนเทนต์ของเราเอง อาจจะเป็นหนังเก้าสิบนาทีหรือ Featured Film นั่นคือความฝันเริ่มต้นที่เราก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเลย ตอนนี้ก็ถือว่ายังหาผู้ร่วมทุนอยู่เรื่อยๆ ครับ ถามว่าจะมีช่องทางไหนให้ทำไหม ก็น่าจะมีนะครับ อย่างตอนนี้เราก็เริ่มรู้จักกับทางต่างประเทศมากขึ้นที่อาจจะมาร่วมลงทุนกันครับ
The MATTER : แสดงว่าเป้าหมายตอนนี้ของทาง Riff Studio คือการได้ทำภาพยนตร์เป็นหลัก ไม่ได้เน้นซีรีส์หรืออนิเมชั่นขนาดสั้นแล้ว
คุณพีท : ก็คงทำทุกอย่าง แตกไลน์กันไปครับ แต่ที่เราชอบและอยากทำคือภาพยนตร์แบบ Featured Film ซึ่งยังเปิดเผยรายละเอียดตอนนี้ไม่ได้ รอติดตามทางแฟนเพจของเราปีนี้น่าจะมีอะไรเรื่อยๆ ครับ
The MATTER : มีบริษัทอนิเมชั่นในไทยหลายเจ้าที่รับงานจากต่างประเทศเสียเยอะ ในมุมมองของผู้ผลิตเองคิดว่าผู้ชมในบ้านเราจะยอมรับผลงานอนิเมชั่นที่ถูกสร้างจากคนไทยบ้างไหม
คุณพีท : ตอนนี้เหมือนสตูดิโอเก่งๆ ในไทยเยอะมากครับ มีทั้งจ้างกันในไทย รวมถึงที่มาเปิดบริษัทย่อยนอกประเทศโดยใช้บุคลากรคนไทยกัน ทีนี้ถ้าเป็นตลาดเฉพาะในประเทศเรามันจะมีต้นทุนน้อยกว่า เพราะบ้านเรากำลังซื้อน้อยกว่าครับ มันก็เลยจะทำให้คุณภาพงานออกมาไม่ดี สตูดิโอต่างๆ จึงต้องรับงานต่างประเทศถึงจะอยู่ได้ ณ เวลานี้
ผมว่าในอนาคตถ้าตลาดมันขยาย แล้วเราสามารถเอาคอนเทนต์ของเราเองไปขายต่างประเทศได้ด้วย มันก็จะมีโอกาสโตขึ้นอีกครับ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้อนิเมชั่นในไทยกำลังขาขึ้นอยู่ไหม ก็ถือว่าดีอยู่นะครับในส่วนที่เป็นงานรับจ้าง แต่ในส่วนของครีเอทีฟ ผมคิดว่าเราก็ต้องพัฒนากันต่อไป ก็ต้องให้ทุกคนช่วยกันสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในพื้นที่แถบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องเนื้อเรื่องหรือคอนเทนต์นี่ล่ะครับ ว่าจะทำยังไงให้ดูสากล ให้มันสนุก ให้มันมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อย่างทางผมก็พยายามพัฒนาอยู่ครับ
The MATTER : อาจเพราะส่วนหนึ่งบางคนก็จะมองว่าถ้าบ้านเราทำอนิเมชั่นแล้วจะต้องไปหยิบเอาวัฒนธรรมหรือ ‘ของเดิม’ มาทำใหม่ด้วยหรือเปล่า
คุณพีท : ใช่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรที่ครีเอตขึ้นมาใหม่ อย่างทาง Riff Studio เราก็พยายามทำขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าแบบเรื่อง RAAM นี่ถือว่าทางลูกค้าเขามีโจทย์มาให้ เพราะแกนหลักของ Force Of Will เป็นการหยิบเรื่องเล่าจากทั่วโลก อย่างพิน็อคคิโอหรือมนุษย์หมาป่ามาเล่า แต่ในอนาคต Riff จะได้ปล่อยอะไรที่เป็น Original Content จริงๆ มาให้ชมกันครับ
บางทีคนไทยกันเองก็ติดภาพว่าไม่อยากดูอนิเมชั่นที่ทำจากมือคนไทยกันเอง อยากจะดูงานของญี่ปุ่นหรือฮอลลีวูดมากกว่า ซึ่งก็เข้าใจได้ครับว่างานก่อนหน้านี้อาจจะสู้เขาไม่ได้ ตรงนี้ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือก แต่คิดว่าในอนาคตอีกไม่นานเราก็น่าจะสู้เขาได้ ก็ต้องฝึกฝนพัฒนาฝีมือกันต่อไปครับ
The MATTER : เกี่ยวกับการกระจายผลงาน บ้านเราก็ติดดูออนไลน์แบบไม่ถูกกฎหมายกันเยอะเหมือนกัน
คุณพีท : (หัวเราะ) ใช่ครับ ตรงนี้ก็มีผลต่อวงการเยอะเลย แต่ผมคิดว่าผู้ให้บริการก็พัฒนาแพลตฟอร์มที่ดีขึ้น ผมคิดว่ามันจะดีขึ้นเหมือนกับฝั่งเกมที่พอมี Steam ขึ้นมา คนก็เล่นเกมแท้มากขึ้น ผมคิดว่า Digital Content เนี่ยมันจะต่อยอดให้มันอยู่กันได้ ตอนนี้เราก็ต้องพยายามพัฒนากันต่อไปครับ
Cover Illustration by Manaporn Srisudthayanon