ถ้าพูดถึงศิลปินซินธ์ป๊อปในบ้านเรา หนึ่งในชื่อที่เราจะนึกถึงคือ อิ้งค์—วรันธร เปานิล
หลังจากปล่อยเพลงอย่าง เหงา เหงา และ เกี่ยวกันไหม ที่ทำให้ชื่อของอิ้งค์ได้รับการจดจำในฐานะศิลปินอย่างเต็มตัว เรายังเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ ผ่านผลงานชิ้นล่าสุดกับ ความลับมีในโลก พร้อมลุคใหม่และสไตล์เพลงที่เป็น ‘ผู้ใหญ่’ มากขึ้นกว่าเดิม
“ใจมันเต้นแรงมากๆ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วว่าคนจะโอเคกับสิ่งที่เราทำไหม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก และทำให้เรารู้ว่าคิดถูกมากๆ ที่ตั้งใจเปลี่ยนแปลงบางอย่าง” คือความรู้สึกของเธอต่อเพลงนี้
“อาจจะเพราะว่าเราโตขึ้นด้วยแหละ” อิ้งค์เปรยๆ ออกมาถึงเหตุผลของความเปลี่ยนแปลง
หลายคนรู้จักเธอผ่านผลงานที่หลากหลาย จากหนึ่งในสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป มาถึงบทบาทการเป็นนักแสดง และประสบการณ์กว่า 3 ปีบนเส้นทางศิลปินเดี่ยว จนถึงวันนี้ที่เธอยังเดินสายร้องเพลงที่เธอรัก และสร้างความประทับใจให้กับผู้คนได้มากขึ้นเรื่อยๆ นี่จึงกลายเป็นเหตุผลของบทสนทนา ว่าด้วยการเติบโตเป็นผู้ใหญ่บนเส้นทางศิลปิน โลกของผู้ใหญ่ที่เธอเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ผ่านเข้ามาและพ้นออกไปได้ง่ายๆ เลยไปจนถึงเรื่องความลับที่มีอยู่จริงของ อิ้งค์ วรันธร
เราแอบรู้มาว่าเพลงความลับมีในโลกมันมีจุดเริ่มต้นขึ้นจากความบังเอิญ
มีวันนึงที่นัดกันจะเขียนเพลงใหม่ ตอนนั้นมีอิ้งค์ พี่แทน ลิปตา กับพี่ข้าว fellow fellow นั่งคิดเพลงกันและตันมาก หลังจากที่ค้างอยู่ประโยคเดิมนานมาก ก็เลยลองหยุดแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกัน
พี่แทนพูดขึ้นมาว่าไปเดินช้อปปิ้งมาแล้วได้ยินคนคุยกันว่า “ความลับมันไม่มีในโลกหรอกแก” แต่พี่แทนคิดในใจว่าความลับมันมีในโลกนะ เหมือนคิดในใจแย้งกับเขา พอได้ยินอย่างนั้น เลยบอกพี่แทนว่าเราเอาประโยคนี้มาเขียนเป็นเพลงดีไหม เป็นเพลงชื่อว่าความลับมีในโลก เพราะมันดูเอาเขียนเป็นเพลงแอบรักก็ได้ เป็นเพลงเศร้ามากๆ ก็ได้ เลยกลายเป็นว่าโละเพลงแรกทิ้งไปเลยแล้วเป็นเพลงนี้แทน
ตีความเพลงนี้ยังไง
ตีความยากเหมือนกัน ครั้งแรกที่อ่านเนื้อเพลงแล้วรู้สึกว่าเป็นเพลงเศร้า เป็นเหมือนผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนืออีกฝ่าย คือชอบเธอ แต่เธอไม่รู้หรอก มันคือการแอบรักที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกเขาออกไป เพราะเราไม่อยากเสียใจ เก็บมันเป็นความลับในโลกต่อไป
แต่จริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้อยู่เหนือกว่าเขานะ แต่มีความกรุ้มกริ่ม แล้วเป็นคนที่ขัดแย้งในความรู้สึกตัวเองเหมือนกัน อย่างชื่อเพลงตอนแรกคือความลับมีในโลก แต่ท่อนฮุกคืออยากให้เธอรู้ (หัวเราะ)
เชื่อตั้งแต่แรกที่ได้ยินเลยรึเปล่าว่าความลับมีในโลกจริงๆ
เชื่อเลย ทุกคนน่าจะมีความลับอยู่ในตัวเอง อาจจะไม่ได้ลับมาก แต่มันก็ลับสำหรับคนๆ นึงอยู่ดี สมมติเรารู้จักใคร เราก็จะมีความลับในบางเรื่องต่อกัน สุดท้ายแล้ว ทุกคนน่าจะมีความลับที่ไม่ได้อยากจะบอกกับใคร
สำหรับอิ้งค์แล้ว คิดว่าอะไรจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราไม่อยากเก็บความรู้สึกในใจให้เป็นความลับอีกต่อไป
อาจจะเป็นความอึดอัดใจ เช่น เราเก็บเป็นความลับเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนเปลี่ยนไป แต่ถ้าวันหนึ่ง เรารู้สึกอึดอัดใจมากแล้วเราไม่บอกเขาตรงๆ ว่าเรารู้สึกยังไง มันก็เป็นเรื่องของความอึดอัดใจแหละ
อึดอัดใจกับการเก็บความลับบ้างไหม
อิ้งค์เป็นคนที่มีอะไรแล้วจะพูดเลย เป็นคนเก็บความลับไม่ค่อยได้ ไม่มีความลับที่จะอยู่กับตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ มีอะไรก็ชอบระบาย หรือหาคำปรึกษาจากคนอื่นๆ เราเป็นคนที่อยากได้ความเห็นจากคนอื่นๆ หรือบางทีเราเครียด เราอึดอัด การระบายออกมันคือสิ่งที่ทำให้เราสบายใจได้
ถ้าอิ้งค์ชอบใครสักคน อิ้งค์จะเก็บไว้เป็นความลับแบบในเพลงรึเปล่า
เก็บ (ตอบทันที) พอทำเพลงไปเรื่อยๆ อิ้งค์ได้รู้ว่าเพลงนี้มันตรงกับเรามากเลย เพราะเป็นคนที่จะไม่บอกชอบ หรือพูดว่าชอบก่อนเด็ดขาด แต่เราจะส่งสัญญาณอะไรบางให้เขารู้ว่าเราแคร์เขานะ แต่จะไม่พูดออกไป เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกแบบที่เรารู้สึกไหม มันอาจจะเพราะเรากลัวเสียฟอร์มด้วย กลัวเสียใจด้วย ทั้งชีวิตนี้เลยไม่เคยบอกชอบใครก่อนเลย
กับสภาวะที่ไม่บอกชอบใครก่อนเลยเนี่ย ไม่อึดอัดหรอ
ก็มีนะ แต่เราจะบอกเพื่อนบ้าง แต่ถ้าจะต้องบอกกับเขาเองก็คือไม่กล้าเลย สมมติว่าอิ้งค์อยู่ใกล้ๆ กับคนที่เราแอบปลื้ม หรือศิลปินที่ชอบ อิ้งค์จะเก็บอาการมาก ไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย
จริงๆ แล้วเป็นความขี้อายมากกว่า เป็นคนขี้กลัวด้วย เราไม่รู้ไงว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับเรา หรือเขาอาจจะน่ารักแบบนี้กับทุกคนก็ได้
แล้วคิดว่าอะไรคือความสุขในความสัมพันธ์ลักษณะแบบนี้
การแอบรักเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในความสัมพันธ์แล้ว ในความรัก มันเหมือนว่าเราแอบรักเขา เราไม่ได้คาดหวังว่า เขาจะมาทำอะไรให้เรา แต่พอเป็นแฟนแล้วเราจะรู้สึกว่า ทำไมเธอไม่ทำแบบนี้ให้ฉัน ทำไมมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอไม่รักฉันเหมือนเดิมหรอ
แต่การแอบรัก เราไม่ได้หวังให้เขามาทำอะไรให้ แค่เราเจอเขา แค่เขายิ้มให้เรา มันก็ทำให้ทั้งวันของเรามีความสุขแล้ว มันคือความสัมพันธ์ที่ดีนะ ความรู้สึกตอนแอบรักทุกอย่างจะเป็นสีชมพู แต่ถ้าแอบรักไปสักพักนึง มันอาจจะรู้สึกอึดอัดได้
ซึ่งการแอบรักมันก็มีด้านดาร์คเหมือนกัน
ถ้าเกิดเขามีแฟนแล้วก็วืดเหมือนกันนะ หรือถ้าแอบชอบอยู่ดีๆ เขามีแฟนขึ้นมา เราก็อาจจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกเขาไปรึเปล่า มันคือด้านมือดของการแอบรัก
เคยมีความรู้สึกทำนองว่า เอาล่ะ วันนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปบอกความรู้สึกให้เขารู้ให้ได้
อิ้งค์ยังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นนะ แต่มันอาจจะเกิดขึ้นกับหลายคน เชื่อว่าการบอกรักใครสักคนมันต้องใช้ความกล้ามากเลย อาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะต้องพูดยังไง อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย บางทีต้องขึ้นอยู่กับคนด้วยว่าเขาเป็นคนยังไง เราเป็นคนยังไง เรามั่นใจขนาดไหนแล้วว่าการบอกชอบครั้งนี้จะไม่ผิดหวัง หรือเราเตรียมใจไปแค่ไหนที่จะผิดหวัง
ความลับแบบไหนที่อิ้งค์โอเคที่จะเปิดเผยออกไป
สบายใจที่จะพูดหมด ถ้าไม่ใช่ความลับเกี่ยวกับความรัก อิ้งค์เป็นคนคิดมาก เวลาคิดอะไรแล้วก็จะเก็บไว้กับตัวเองไม่ได้นาน มันเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างมันต้องได้รับการแก้ไข เช่นเรารู้สึกกับเพื่อนแล้วเราก็จะหาวิธีคุยกับเขาให้มันออกมาโอเค ไม่ได้อยากพูดตรงๆ เพื่อทะเลาะเลย แต่เราจะหาทางประนีประนอม เพื่อทำให้มันเสียความสัมพันธ์น้อยที่สุด
มองอย่างนี้ได้ไหมว่า พอทุกคนมีความลับ เราก็ไม่สามารถเข้าใจใครสักคนได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
บางคนมีความลับเพราะมันเป็น comfort zone ของเขา มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวและความสบายใจของเขา เช่นเขาอยู่กับเรา เขาอยากเล่าแค่นี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้อยากมีความลับ แต่เขาอยากจะให้เรารู้จักแค่นี้ดีกว่า มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ และเป็นสิทธิส่วนบุคคลมากๆ เลยที่เราจะบอกความลับของเรากับใคร หรือไม่บอกกับใคร
อิ้งค์ว่าการที่เราจะรู้จักใครสักคน เราก็ไม่จำเป็นที่จะรู้ความลับของเขาทุกเรื่อง เพราะบางที การเก็บความลับเอาไว้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่เขาอ่อนไหว หรืออยู่กับตัวเองแล้วไม่อยากบอกใครก็ได้
มาคุยเรื่องดนตรีบ้าง เพลงความลับมีในโลกต่างไปจากซินธ์ป๊อปแบบเดิมของอิ้งค์ยังไงบ้าง
มันเป็นซินธ์ป๊อปแบบที่อิ้งค์ชอบในปัจจุบัน การทำงานของอิ้งค์เดินทางมาได้ 3 ปีแล้ว ซึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้วมันอาจเป็นแนวยุค 80 มีซาวด์ที่สดใส แต่ในสามปีนี้เราได้รู้จักซินธ์ป๊อปในหลายแง่มุมมากขึ้น เพลงนี้มันไม่ได้หนีไปจากความเป็นตัวอิ้งค์นะ แต่มันเป็นอิ้งค์ที่โตขึ้น หมายถึงโตขึ้นไปพร้อมกับสไตล์ดนตรีที่ไม่ได้สดใสตลอดเวลา มีสไตล์ที่หม่นขึ้น มีดนตรีที่ฟังแล้วรู้สึกเปลี่ยนไป
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นจากอะไร
อิ้งค์ว่าตัวเองโตขึ้นด้วย เชื่อว่าสามปีมันทำให้เราได้เจอเวลาอีกช่วงชีวิตนะ เราไม่ได้อยากทำให้มันดูแก่อะไรขนาดนั้น แต่อยากทำให้คนรู้ว่าเราพัฒนาขึ้นจากเด็กในวันนั้นที่เข้ามาทำเพลง ‘เหงา เหงา’ คือเราได้พบเจออะไรใหม่ๆ และไม่อยากนำเสนอในสิ่งที่คนรู้ว่า ยังไงๆ อิ้งค์ก็ต้องมาแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้คนรอดูไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น เราเองก็ไม่ตื่นเต้น
แต่กับเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่อิ้งค์ตื่นเต้นมาก ตั้งแต่วันที่ปล่อยทีเซอร์ตัวแรกที่เป็นลุคใหม่ รู้สึกว่าใจมันเต้นแรงมากๆ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วว่าคนจะโอเคกับสิ่งที่เราทำไหม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก และทำให้เรารู้ว่าคิดถูกมากๆ ที่ตั้งใจเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อทำให้ตัวเราเองตื่นเต้นกับงาน
ความตื่นเต้นมันต่างกับตอนทำเพลง เหงา เหงา เมื่อครั้งแรกไหม
เพลง เหงา เหงา มันเป็นความตื่นเต้นที่เราไม่ได้คาดหวังขนาดนี้ ตอนนั้นเราไม่ได้คาดหวังว่ายอดวิววันแรกมันจะเท่าไหร่ มันเป็นความตื่นเต้นที่เรียบง่ายมากๆ
แต่ครั้งนี้มันคือความตื่นเต้นที่เราทำเพลงนี้เป็นเพลงที่หกแล้ว มันมีทั้งเพลงที่เราสมหวังและผิดหวัง เพลงนี้อิ้งค์คิดว่ามันเป็นความตื่นเต้นที่เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เราคาดหวังกับมันนะ แต่ไม่ได้คาดหวังในแง่ที่ว่าจะต้องดังมาก หรือคนจะต้องดูให้ครบหนึ่งล้านวิวภายในหนึ่งวัน อิ้งค์ไม่ได้คาดหวังแบบนั้น แต่คาดหวังว่าคนที่ชอบอิ้งค์ วรันธร แบบ EP เก่าๆ จะชอบอิ้งค์ วรันธร ที่ผมสั้นไหม จะชอบที่ดนตรีเราเปลี่ยนไปไหม ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาดี ทุกคนตื่นเต้นแบบที่เราอยากให้มันเป็นจริงๆ อ่านคอมเมนต์แล้วรู้สึกว่าดีจังที่ทุกคนเปิดใจต้อนรับเรา
ซึ่งถ้าเราคุยกับอิ้งค์ก่อนหน้าที่จะมีคอนเสิร์ต Just A Little Bliss ปิด EP ที่แล้ว เราคงไม่ได้เห็นอิ้งค์รู้สึกแบบนี้แน่ๆ คิดว่าอะไรที่ทำให้ตัวเราแตกต่างไปจากช่วงนั้นมากที่สุด
น่าจะความคิดนะ ก่อนที่จะมีคอนเสิร์ต Just A Little Bliss ถ้าเกิดใครเคยดูสารคดี The Secret Of Bliss ที่พูดถึงตัวอิ้งค์เองก่อนถึงวันคอนเสิร์ต มันเป็นช่วงที่อิ้งค์เหมือนคนหลงทาง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ดีแล้วรึเปล่า มีความกดดันหลายอย่างๆ ที่กดดันตัวเราเกินไป เครียดเกินไป คิดมากเกินไป จนเราหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนั้น แต่การมีคอนเสิร์ตวันนั้นทำให้เราหลุดออกมาได้หมดเลย
อะไรที่ทำให้หลงทาง
มันเกิดขึ้นระหว่างทางทุกวัน ทุกวันเราจะเจอทั้งความสุข ความกดดันที่เราค่อยๆ สะสมมา แต่เราไม่รู้ตัว เราทำงานทุกวันโดยที่ทำไปเรื่อยๆ แต่พอมาวันนึงที่เรากลับมามองตัวเอง กดดันตัวเองว่าเราทำได้ดีพอไหม
มันเป็นคำถามที่ตอบตัวเองไม่ได้ในตอนนั้น แต่ก็รู้สึกว่าพอผ่านวันคอนเสิร์ตมา เรามีไฟมากขึ้น สิ่งที่เราทำบนเวที รวมถึงคนดู และทีมงาม ทำให้เราปลดล็อคตัวเองได้ว่าเราดีพอสำหรับคนกลุ่มนี้ที่เขาตั้งใจมาดูเรา มีคนเชื่อว่าเราทำได้ มีคนเชื่อว่าเราสามารถเป็นศิลปินที่ดีได้ เลยคิดได้ว่าทำไมเราต้องมานั่งกดดันตัวเองด้วย เราคิดมากเกินไปรึเปล่า
นิสัยนี้อยู่กับเรามานานแล้วรึเปล่า
เป็นคนที่เวลาขึ้นคอนเสิร์ตแล้วจะกลับมาหาข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป นิสัยแบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมฉันมีข้อบกพร่องที่ยังไม่แก้ไขอยู่ได้ ทำไมยังทำไม่ได้ทั้งที่รู้มานานแล้ว มีหลายอย่างที่เข้ามาแล้วเรารู้สึกว่าสะสมมันมากเกินไป
ก็เลยจมไปกับมัน
ใช่ จมไปกับมัน แล้วอย่างคอนเสิร์ตตัวเองก็ยากเหมือนกัน อิ้งค์เริ่มต้นกับคอนเสิร์ตตั้งแต่ศูนย์เลย เรามีส่วนร่วมกับมันตั้งแต่แรกเลยจนถึงวันที่แสดงจริง มันเลยอาจจะเป็นความกดดันที่เกิดขึ้นระหว่างทาง และทบทวนตัวเองเรื่อยๆ
เหมือนอิ้งค์ก็เป็นคนที่อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ
เป็นคนที่อยู่กับตัวเองเยอะ แล้วถ้าอยู่กับตัวเองนานๆ จะรู้สึกดีขึ้นนะ แต่ถ้าไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองเลย เราจะไม่สามารถเคลียร์ปัญหาในหัวของตัวเองได้ ยิ่งเวลาเรามีงานเยอะ ทำงานเยอะ กลับบ้านก็เหนื่อนก็นอน ไม่ได้มีเวลานั่งทบทวนตัวเอง มันทำให้ทุกอย่างสะสมไปเรื่อยๆ ไม่มีการเคลียร์ออก
เมื่อก่อนเราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาก ก่อนนอนจะให้อภัยทุกคน เพื่อที่จะตื่นมาด้วยความสดใส ไม่ได้เป็นโกรธใครแล้ว แต่มีช่วงที่เราไม่ได้มีเวลามานั่งเคลียร์ตัวเองแบบนั้นแล้ว ทำให้เราสะสมความรู้สึกเยอะเกินไปในช่วงนั้น
ไม่กลัวเหรอว่าถ้ายิ่งคุยกับตัวเองเยอะๆ เรื่องราวมันก็จะดาร์คขึ้นไปเรื่อยๆ
การสะสางตัวเองมันก็มีความดาร์คที่เกิดขึ้น แต่บางทีความดาร์คนี่แหละที่จะพาเราหลุดออกมาได้ มันทำให้เรามองโลกตามความจริงแล้วก็ออกมา
หลังจากคอนเสิร์ตจบ EP เราเห็นอิ้งค์โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กว่า อยากขอบคุณตัวเองล้านครั้งที่เลือกเรียนดนตรีและร้องเพลง เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกในตอนนั้น
มันเป็นความรู้สึกที่เราตั้งใจทำอะไรบางอย่างมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตเราจะได้ขึ้นเวทีไปร้องเพลงรึเปล่า แต่วันนี้เราได้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจมาตลอดตั้งแต่ตอนเด็กมาก เลยคิดว่า ถ้าเกิดเราไม่ได้เรียนร้องเพลง เราทำอย่างอื่นอยู่ ที่บ้านไม่ได้สนับสนุน หรือไม่ได้เลือกเรียนร้องเพลง ตอนนี้เราอาจจะไม่ได้อยู่ในจุดนี้รึเปล่า
รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยังรักการร้องเพลง และก็ทำให้วันนี้เราได้ขึ้นมาอยู่ตรงนี้ ตรงที่มันคุ้มค่ามาก มันอาจจะเป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่ทุกคนมองว่ามันคอนเสิร์ตเล็กมาก แต่มันคือความสุขที่ศิลปินคนนึงได้รับในฐานะคนที่ตั้งใจทำมันมาตลอดตั้งแต่เจ็ดขวบ
ถ้ามองย้อนไปถึงวันที่เรียนร้องเพลงตอนแรก ตัวเองก็คงมีความสุขนะ ถ้าจะได้รู้ว่าสามารถทำในสิ่งที่เราชอบเป็นอาชีพแบบนี้ได้
ถ้าไม่มีโมเมนต์แบบนั้นในคอนเสิร์ตปิด EP อิ้งค์จะเป็นยังไงในวันนี้
อาจจะไปหาทางเอาพลังบวกและไฟใหม่ๆ กลับมาเยอะๆ อีกทีนึง เพื่อที่จะทำเพลงให้มันดีขึ้น เพราะช่วงเวลาก่อนคอนเสิร์ตนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตอิ้งค์แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่หน่วงสุดแล้ว ถ้าเกิดวันนั้นคอนเสิร์ตไม่ได้โอเค หรือทุกคนไม่ได้น่ารักแบบวันนั้น อิ้งค์ก็ยังจะขอบคุณคอนเสิร์ตนั้น แต่เราก็ต้องหาทางมาจัดการกับความรู้สึกนี้ต่อ เพราะสุดท้ายแล้วอิ้งค์ก็ยังทำสิ่งนี้ต่ออยู่ดี
เชื่อไหมว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็จะคลี่คลายได้ด้วยตัวมันเอง
เชื่อนะ เชื่อว่ายังไงตัวเองต้องหาทางออกมาให้ได้ เชื่อว่าตัวเองจะต้องดีขึ้นได้
จากที่คุยกันมา ฟังดูแล้วอิ้งค์ก็ผ่านช่วงที่ตั้งคำถามกับตัวเองเยอะเหมือนกัน
อิ้งค์ตั้งโจทย์ใหม่ให้กับตัวเองทุกเพลงที่เกิดขึ้น มันค่อยๆ เดินทางไปทีละขั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเพลง บางเพลงมันไม่ได้ประสบความสำเร็จตามเป้า เราก็ต้องหาทางให้มันไปต่อได้ มันไม่ใช่แค่การร้องเพลงแล้ว มันมีเรื่องการทำงานที่ต้องเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ซึ่งต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมากรึเปล่า เพราะเราก็ไม่รู้ว่าโมเมนต์แบบในคอนเสิร์ตนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ตอนเด็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตเราจะได้เป็นศิลปินรึเปล่า ตอนนั้นไม่ได้มีเป้าว่าจะต้องเป็นศิลปินที่คนร้องเพลงได้ เราแค่เอ็นจอยในทุกๆ วันที่เราได้เรียนร้องเพลง แต่จุดนี้มันคือปลายทางที่เราไม่ได้คาดคิดว่ามันจะต้องมีตั้งแต่แรก เราแค่รักการร้องเพลง เมื่อวันนี้สิ่งที่เราชอบมันตอบแทนเรากลับมา อิ้งค์ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่อยากขอบคุณมากๆ
ในสารคดี The Secret Of Bliss เราเห็นเรื่องราวที่พี่คงเดช จาตุรันต์รัศมี พูดกับอิ้งค์เรื่องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยากให้อิ้งค์เล่าให้ฟังเพิ่มอีกหน่อย
อิ้งค์รู้จักพี่เดชครั้งแรกตอนประมาณเรียนอยู่ปีสาม ซึ่งตอนนั้นอิ้งค์เป็นคนสดใสมาก มองย้อนกลับไปแล้วก็อยากได้ความสดใสนั้นกลับมาเหมือนกัน ซึ่งพี่เดชก็พูดว่า “เดี๋ยวแกโตไปก็จะโดนโลกโบยตี” (หัวเราะ) พี่เดชจะเล่าให้ฟังเสมอว่าโลกความจริงและโลกของผู้ใหญ่มันเป็นยังไง ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่ คิดว่ามันคงไม่ขนาดนั้นมั้ง
จนตอนนี้ผ่านมาห้าปี อิ้งค์เข้าใจมากขึ้นมากๆ การทำงานมาสามปีทำให้อิ้งค์โตขึ้นมาก ทำให้อิ้งค์เข้าใจโลกของ (นิ่งคิด) ความจริงมากขึ้น จริงๆ โลกของผู้ใหญ่มันคือโลกของความจริงแหละอิ้งค์ว่า
การที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันไม่ได้มีการสอบตกแล้วสอบซ่อมได้แล้ว หรือคนข้างนอกก็จะเห็นว่า อาชีพเราคือศิลปิน มันไม่ได้มีการที่แบบผิดพลาดแล้วจะสามารถแก้ไขได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต้องพบเจอความผิดหวังที่เข้ามาเรื่อยๆ แต่เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้อย่างมืออาชีพ ออกไปทำงานได้โดยที่แก้ไขชีวิตส่วนตัวไปด้วย มันมีอะไรหลายอย่างที่พบเจอและเป็นด่านที่ต้องผ่านไปเรื่อยๆ
เหมือนเป็นโลกที่ต้องเจอด้วยตัวเอง และเรียนรู้ด้วยตัวเอง
จริงๆ ก็ได้คนรอบข้าง และพี่ทีมงานที่น่ารักและช่วยเหลือ เราเคยผ่านความสบายมาก่อน เป็นคนสดใส มีความสุข มองโลกในแง่ดีมากๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็ยังมองในแง่ดีอยู่ แต่มองมันตามความเป็นจริงมากขึ้น ว่ามันมีคนหลากหลายรูปแบบ มีงานหลากหลายรูปแบบ ความรู้สึกหลากหลายรูปแบบที่เราต้องเจอและจัดการ
มันไม่ใช่แค่ “ไม่เป็นไรหรอก ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ แล้วมันก็จะผ่านไป” มันไม่ได้แล้ว เพราะบางอย่างต้องได้รับการแก้ไข ต้องผ่านมันไม่ไปให้ได้จริงๆ หนีไม่ได้ เพราะมันคืออาชีพและชีวิตแล้ว
ตอนแรกเราคุยกันเรื่องความลับ ส่วนเมื่อกี้เป็นเรื่องความเป็นผู้ใหญ่ อิ้งค์คิดว่าการโตเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้เราเก็บความลับได้มากขึ้นไหม
มากขึ้น อิ้งค์รู้สึกว่าการเป็นผู้ใหญ่มันทำให้เจออะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น บางอย่างมันสามารถแก้ไขได้ บางอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง หรือบางอย่างมันก็ต้องเก็บงำความรู้สึกตัวเองให้เก่งกว่าเดิม ซึ่งการเป็นผู้ใหญ่ เราไม่สามารถพูดอะไรทุกอย่างตามที่เราต้องการได้ตอนนั้นเลย
มันต้องเก็บงำความรู้สึกบางอย่าง เพื่อให้ถึงเวลาที่ควรจะเป็น มันจะมีวุฒิภาวะมากขึ้นแหละ หรืออาจจะเจ็บปวดมากขึ้นในการเก็บความลับก็ได้
เพราะความลับในของผู้ใหญ่ มันค่อนข้างเจ็บปวดกว่าความลับของตัวเองตอนเด็ก