คำตอบของเขาเต็มไปด้วยไวยากรณ์ที่มีศัพท์แสงที่แสดงถึงความไม่มั่นใจอย่าง ‘อาจจะ’ ‘น่าจะ’ หรือ ‘ก็คง’ อยู่เต็มไปหมด ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกอะไร เพราะนี่คือลักษณะของวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยแห่งการแสวงหา
เขินอาย ปิดป้องตัวเองไว้หลังกำแพงด้วยประโยคกว้างๆ ไม่เจาะจงระบุรายละเอียดให้ชัด เพราะกลัวจะเปิดเผยบางด้านที่ยังไม่แข็งแรงมากพอออกมา แต่อีกมุมก็ยังเป็นมนุษย์ที่อยากค้นหาที่หยัดที่ยืน พิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี เพื่อลบข้อครหาที่ว่าเขายังเป็นเด็กน้อยอ่อนหัด อันจะสังเกตได้จากการย้ำคำว่า ‘ตัวตน’ อย่างแจ่มชัดอยู่บ่อยครั้ง
สกาย—วงศ์รวี นทีธร เป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่โด่งดังมาจากซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Hormones วัยว้าวุ่น ด้วยการสวมบทเป็นนักเรียนมัธยมปลายนาม ‘พละ’ ผู้ต้องแบกความลับหนักอึ้งของการเป็นคนที่มีเชื้อ HIV มาตั้งแต่เกิดเอาไว้
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพละและหญิงสาวอีกคนที่ต้องจูงมือกันข้ามผ่านอคติต่อเชื้อไวรัสร้ายแรงที่ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นช่างงดงามและตราตรึงลงไปในหัวใจผู้ชม จนส่งผลให้นักแสดงหนุ่มกลายมาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตา บวกกับหน้าตาหล่อเหลาตามสมัยนิยมที่ผู้คนชื่นชอบอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้เขาติดลมบนได้ไม่ยาก
และแล้วเมื่อเขากระโดดมารับงานแสดงเรื่องใหม่ พร้อมประโยคเด็ดในคลิปโปรโมตอย่าง “500 รุก ไซ้ ชัก ไม่รีบ” ซึ่งเปิดเผยข้อมูลอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาจะรับบทเป็น ‘โจ’ หนุ่มขายบริการริมถนนผู้ยอมไปกับใครก็ตามที่ยอมจ่ายให้เขาแค่ 500 บาทจากซีรีส์ที่เรตติ้งดีที่สุดในช่วงนี้อย่าง I HATE YOU I LOVE YOU ก็ได้ทำให้ผู้คนฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง กระซิบให้ฟังว่า สาวๆ ในออฟฟิศ giraffe ต่างส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดและตั้งหน้าตั้งตารอการมาถ่ายแบบขึ้นปกของ ‘น้องสกาย’ กันจนเสียอาการถ้วนหน้า
“ยากครับ” เขายอมรับเมื่อรู้ว่าต้องมารับบทที่เขาแทบจะเชื่อมต่ออะไรกับมันไม่ได้เลยบทนี้
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย และจุดเริ่มต้นนั้นดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสเอาการ เพราะอาชีพนักแสดงที่ถูกสปอตไลต์สาดส่องจนเป็นเป้าสายตาก็กลับตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงฝีมือการแสดงของเขาที่ยังไม่ชำนิชำนาญมากพอ ถึงขั้นกลายเป็นกระทู้แนะนำในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง pantip.com
“ผมคิดว่าคำติชมคือสิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นให้เราพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งเราเป็นนักแสดง เรายิ่งต้องยอมรับหรือรับฟังทุกความคิดเห็นของคนดูอยู่แล้ว”
เขาว่าแบบนั้น และยืดอกยอมรับว่าตนยังมีข้อบกพร่อง ทั้งข้อบกพร่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กด้วยการไม่ชอบเข้าสังคม จนทำให้เขามีอาการ lazy tongue ที่ค่อนข้างส่งผลต่อการแสดง และความเป็นหน้าใหม่ที่ยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกมาก
ยังไม่นับประเด็นดราม่าต่างๆ ที่ตามมา ทั้งเรื่องการสูบบุหรี่ หรือเรื่องการเข้ารับน้องใหม่ปี 1 ที่มีการวิพากวิจารณ์ถึงรุ่นพี่ที่ให้ความสนใจกับนักแสดงหนุ่มอย่างเขามากจนเกินไป
ชีวิตวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือชีวิตที่ต้องต่อสู้ทั้งกับการก้าวผ่านกำแพงเดิมๆ เพื่อไปค้นหาตัวตนและตามล่าความใฝ่ฝัน หรือการต้องต่อสู้กับแรงปะทะจากภายนอก ซึ่งอาจทำให้สิ่งที่เชื่อมั่นไขว้เขวได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเขา ที่สารภาพออกมาตามตรงว่า เขาเริ่มต้นมาจากการเป็นเด็กหนุ่มขี้อาย
“แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ” เขาย้ำชัดถ้อยชัดคำ
และราวกับว่า ตอนนี้สกายก็กำลังมุ่งหน้าออกไปค้นหาท้องฟ้าอันสดใสของตัวเอง
มันทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองของคนอื่นๆ ที่ถ้าเราใช้ชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป คงไม่ได้เข้าไปรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา อย่างเรื่องของโจมันทำให้เราได้รับรู้ถึงภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัส ที่คนคนหนึ่งต้องแบกรับด้วยตัวคนเดียว ต้องหาเช้ากินค่ำ ยอมลดศักดิ์ศรี และอยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
‘รักก็ส่วนรัก เอาก็ส่วนเอา’ นี่คือวลีเด็ดของ โจ ตัวละครของคุณในซีรีส์ I HATE YOU I LOVE YOU แต่ถ้าเป็นในชีวิตจริง คุณเชื่อแบบนั้นด้วยไหม
ผมคิดว่าจริงๆ มันแล้วแต่มุมมองของคน บางคนเขาอาจมองแยกขาดกัน คือรักก็แค่รัก เอาก็แค่เอา ไม่เกี่ยวกัน ซึ่งมันจะขึ้นอยู่กับการแยกแยะของคน ส่วนผมจะเชื่อว่าถ้าเราไม่ได้รักกัน แต่ดันไปมีอะไรกัน มันจะรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้นะ สำหรับผมถ้าไม่รัก คงเอาไม่ลงหรือเปล่า (หัวเราะ)
โดยส่วนตัว คุณมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับความรัก
ถ้าเป็นความรักในวัยของผม ผมคิดว่าคนรักจะต้องเป็นคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างผมกำลังอยู่ในวัยเรียน ถ้ามีแฟน ก็ควรจะช่วยพากันก้าวไปข้างหน้า ช่วยให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนามากขึ้น ไม่ใช่ชวนกันฉุดให้ถอยหลังลงคลอง ผมเคยเห็นเพื่อนบางคนมีแฟนแล้วทำให้เขาสูญเสียอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตไป เช่น การเรียน บางคนติดแฟนแล้วไม่ค่อยเรียนหนังสือ ซึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ใช่หนทางที่ดีสักเท่าไหร่
คุณเคยมีแฟนไหม
ไม่เคยเลยครับ ตอนนี้ผมยังรู้สึกว่าอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตยังไม่พร้อม
ถ้าคุณชอบผู้หญิงสักคนหนึ่ง แต่วันหนึ่งดันรู้ว่าเธอมีเชื้อ HIV เหมือนที่ตัวละคร ‘พละ’ ที่คุณเคยรับบทเป็น คุณจะทำอย่างไร
ถ้าผมรักก็คงคบนะครับ ถ้าเรารัก ยังไงก็ต้องมีวิธีที่จะอยู่ด้วยกันได้ เช่น อาจต้องเรียนรู้การป้องกันที่ถูกต้อง
แล้วกับตัวละครที่คุณได้เล่นล่าสุดอย่าง ‘โจ’ ซึ่งเป็นผู้ชายขายตัว คุณคิดอย่างไรกับตัวละครตัวนี้
ผมรู้สึกสงสารเขาครับ สงสารเรื่องราวทุกอย่างในชีวิตของเขา พอได้รับบทนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจว่าทุกคนหรือเกือบทุกคนที่มาทำอาชีพนี้ จริงๆ แล้วเขาอาจไม่ได้ต้องการมาทำอาชีพนี้หรอก ทุกคนล้วนมีความจำเป็นหรือเหตุผลต่างๆ ที่ผลักให้ต้องมาทำอาชีพนี้ อย่างในเรื่อง I HATE YOU I LOVE YOU ตัวละครที่ชื่อโจเนี่ยเขาไม่ได้เรียนหนังสือ พ่อแม่ตาย ไม่มีใครดูแลมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรทำนองนี้จึงผลักให้เขาต้องมาทำอาชีพนี้ ผมเลยรู้สึกสงสารเขา เพราะอย่างเรา เราโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่ดูแลดีมาโดยตลอด
ตั้งแต่เล่นซีรีส์มาคุณค่อนข้างได้รับบทหนักๆ เช่น เด็กมัธยมปลายที่มีเชื้อ HIV หลังจากนั้นก็มาเป็นผู้ชายขายตัว คิดว่าผู้กำกับเขาเห็นอะไรในตัวคุณถึงได้มอบบทเหล่านี้ให้
ผมคิดว่าเขาคงอยากให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นจากการได้เล่นบทหนักๆ เหล่านี้ ให้ได้ลองเล่นหลายๆ แบบ อย่างพละใน Hormones จะค่อนข้างเล่นยาก คือเราต้องคิดตลอดว่า จะสื่ออย่างไรให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของคนที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นแค่เด็กวัยรุ่น หรือเป็นแค่เด็กมัธยมคนหนึ่งที่ต้องแบกความลับไว้กับตัวตลอดเวลา
แล้วอย่างโจล่ะ วินาทีแรกที่ได้รู้ว่าต้องเล่นเป็นผู้ชายขายตัว ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร
คิดว่ามันคงยากกว่าเดิมมากๆ ครับ (หัวเราะ) อย่างบทพละมันจะมีบางอย่างที่เราเชื่อมต่อกับตัวละครตัวนี้ได้ เพราะ 60% ของตัวพละ คนเขียนบทเขาสร้างมาจากตัวตนของเรา พื้นฐานมันมาจากเรา ที่เหลือจะเป็นการดัดแปลงให้เข้ากับเรื่อง แต่อย่างโจมันค่อนข้างจะดิสคอนเนกต์กับเราเลยนะ เพราะเขาไม่มีอะไรเหมือนเราสักอย่าง
เรียนรู้ที่จะเล่นบทที่แทบจะไม่มีอะไรเชื่อมต่อกับตัวเองอย่างไร
อย่างโจ ตอนแรกๆ ก็ไปทำรีเสิร์ชกับทีมงานครับ ออกไปกับทีมงานสามคน ขับรถออกไป วนรถ แล้วไปซื้อคนที่เขาขายบริการมาคนหนึ่ง เพื่อมานั่งสัมภาษณ์ ไปนั่งคุยกันในโรงแรม คุยเกี่ยวกับชีวิตทั่วไปของเขา เพื่อทำให้เรารู้จักแง่มุมต่างๆ ของตัวละครที่เราจะต้องเล่นมากขึ้น อย่างคนที่เราไปสัมภาษณ์มาชีวิตของเขาจะคล้ายๆ กับโจเลย คือไม่มีพ่อแม่ พ่อแม่เสียชีวิต เขาเลยต้องดูแลตัวเอง
การได้แสดงบทเหล่านี้ทำให้วัยรุ่นอย่างคุณเข้าใจชีวิตที่หลากหลายในสังคมมากขึ้นไหม
ใช่ครับ มันทำให้เราได้เรียนรู้มุมมองของคนอื่นๆ ที่ถ้าเราใช้ชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป คงไม่ได้เข้าไปรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา อย่างเรื่องของโจมันทำให้เราได้รับรู้ถึงภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัส ที่คนคนหนึ่งต้องแบกรับด้วยตัวคนเดียว ต้องหาเช้ากินค่ำ ยอมลดศักดิ์ศรี และอยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
จริงๆ แล้วตัวคุณเป็นคนอย่างไร
สมัยมัธยมผมจะเป็นเด็กกลางๆ ไม่ได้โดดเด่น ผมเป็นคนเฉยๆ โดดเรียนก็เคยนะ แต่ถ้าคนที่เพิ่งรู้จักเขาจะบอกว่าผมเป็นคนตั้งใจเรียนหนังสือ เหมือนเป็นเด็กเรียน นิสัยเรียบร้อย แต่พอรู้จักกันไปสักสองปี เพื่อนบางคนจะบอกว่า กูไม่น่ารู้จักมึงเลย มันจะบอกว่า เราชอบพูดมาก พูดไปเรื่อย คือถ้าสนิทกับใครผมจะพูดเยอะมาก กับเพื่อนก็มีแกล้งกันบ้าง แกล้งแบบทั่วๆ ไป เช่น จุดไฟแช็กใส่ก้นเพื่อนแล้วเพื่อนกางเกงขาด ซึ่งก็สนุกดีนะ (หัวเราะ) แต่ถ้ากับคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ผมจะค่อนข้างมีกำแพงนิดนึง ซึ่งผมคิดว่า การมีกำแพงมันเป็นปกติของทุกคนนะ คือถ้าเราเพิ่งรู้จักกับใครสักคน ถ้าให้เราไปจิ๊จ๊ะก็อาจโดนเขาต่อยได้หรือเปล่า (หัวเราะ)
อาจจะมีบ้างนะครับ แต่จริงๆ แล้วผมกำลังคิดว่า หรือมันอาจจะไม่ใช่ เพราะสุดท้ายแล้วหน้าตามันอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการนำเราไปสู่จุดหนึ่ง เช่น การได้เข้ามาในวงการบันเทิง แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญจริงๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร นั่นคือความสามารถ
การได้เข้ามาสู่วงการบันเทิงทำให้คุณเปลี่ยนไปบ้างไหม
เรียกว่าได้เรียนรู้ดีกว่า เอาแค่เรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ เพราะพอเรามาทำอาชีพนักแสดงที่ทำงานเป็นทีม เราจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบเยอะมาก ต้องมาให้ตรงต่อเวลา สมมติถ้าต้องเข้าฉาก เรามาสายสักสิบห้านาที มันจะทำให้เวลาการถ่ายทำของทั้งกองต้องเลื่อนไป และเวลามันมีราคานะ พอเวลามันเลื่อนออกไป ค่าเช่า หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ของทั้งกองก็เพิ่มขึ้น เราเลยต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
อีกอย่างคือการเข้ามาอยู่ตรงนี้มันค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตเราในหลายๆ ด้าน เช่น เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่ พอได้มาเป็นนักแสดง ได้เวิร์กช็อปเรียนรู้เกี่ยวกับการแสดง มันเลยทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น
การเกิดมาหน้าตาดีทำให้ได้เปรียบกว่าคนอื่นหรือเปล่า
อาจจะมีบ้างนะครับ แต่จริงๆ แล้วผมกำลังคิดว่า หรือมันอาจจะไม่ใช่ เพราะสุดท้ายแล้วหน้าตามันอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการนำเราไปสู่จุดหนึ่ง เช่น การได้เข้ามาในวงการบันเทิง แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญจริงๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร นั่นคือความสามารถ
ตอนนี้คุณถือเป็นนักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีแฟนคลับเยอะมาก มันทำให้คุณหลงระเริงไปกับชื่อเสียงตรงนี้บ้างไหม
ผมดีใจนะครับที่มีคนชื่นชอบชื่นชมเรา แต่มันไม่ได้ทำให้เราหลงระเริงอะไร อย่างเพื่อนๆ ของผมที่รู้จักกันมา ก่อนที่ผมจะเข้ามาในวงการบันเทิง เขาจะเห็นว่าผมทำตัวหนักกว่าเดิมอีก (หัวเราะ)
ยังไง
เหมือนพอเรามีความมั่นใจจากการได้เรียนรู้เรื่องการแสดง มันเลยทำให้เราเปิดตัวเองมากขึ้นน่ะครับ คือจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกไปมากขึ้น เพิ่มความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้คีปลุคอะไรเลยนะ เวลาออกไปข้างนอก แต่งตัวไปเที่ยว ผมจะเลือกแต่งตัวในแบบของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเป็นนักแสดงแล้ว เราจะไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะผมคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
อ่านคอมเมนต์จบก็ยังนอนหลับสนิทดีเหมือนเดิม (หัวเราะ) เพราะผมคิดว่าคำติชมมันคือสิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นให้เราพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งเราเป็นนักแสดง เรายิ่งต้องยอมรับหรือรับฟังทุกความคิดเห็นของคนดูอยู่แล้ว อีกอย่างผมเป็นคนชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใคร ส่วนการแสดงของผมตอนนี้ ผมคิดว่ามันกำลังพัฒนาขึ้นนะ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ไปอีก
อีกด้านหนึ่งของวงการบันเทิง สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงชื่นชมนั่นคือคำวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งคุณค่อนข้างได้รับเสียงวิจารณ์ถึงฝีมือการแสดงในแง่ลบพอสมควร รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจกับคำวิจารณ์เหล่านี้บ้างไหม
ไม่น้อยใจหรือเสียใจอะไรครับ อ่านคอมเมนต์จบก็ยังนอนหลับสนิทดีเหมือนเดิม (หัวเราะ) เพราะผมคิดว่าคำติชมมันคือสิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นให้เราพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งเราเป็นนักแสดง เรายิ่งต้องยอมรับหรือรับฟังทุกความคิดเห็นของคนดูอยู่แล้ว อีกอย่างผมเป็นคนชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใคร ส่วนการแสดงของผมตอนนี้ ผมคิดว่ามันกำลังพัฒนาขึ้นนะ แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ไปอีก
จุดอ่อนในการแสดงที่อยากรีบพัฒนาให้เร็วที่สุดคืออะไร
จริงๆ ก็เยอะนะครับ ด้วยความที่เมื่อก่อนผมเป็นคนพูดน้อย พอมาถึงตอนนี้เลยทำให้ผมพูดบางคำไม่ชัด ครูการแสดงเขาบอกว่าผมเป็น lazy tongue เพราะเมื่อก่อนพูดน้อย พอต้องมาพูดเยอะๆ กล้ามเนื้อเลยตามไม่ทัน ตอนนี้เลยต้องหัดพูดให้เยอะๆ เข้าไว้
แต่เรื่องที่ต้องแบกรับมากกว่านั้น อาจเป็นการจับตาจากคนอื่นๆ เพราะตอนนี้คุณกลายเป็นคนที่โดนสปอตไลต์ส่อง เช่น คุณเองก็เคยมีประเด็นดราม่าเรื่องการสูบบุหรี่ อึดอัดหรือกังวลตรงส่วนนี้ไหม
ผมคิดว่าไม่เห็นจะเป็นไรนี่ครับ ในเมื่อความจริงคือเราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เราไม่ได้ทำจริงๆ ดังนั้นเราไม่เห็นจำเป็นต้องไปรู้สึกอะไร เราไม่เห็นจำเป็นต้องไปใส่อารมณ์ว่าทำไมคนอื่นถึงมาคอมเมนต์เราอย่างนี้ ในเมื่อจริงๆ แล้วเราไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น แค่เรารู้ว่าเราทำและไม่ทำอะไรแค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว
ถ้าเปรียบนักแสดงคนหนึ่งเป็น ‘ซูเปอร์ฮีโร่‘ ที่ควรเป็นแบบอย่างให้แก่สังคม คุณคิดว่าฮีโร่ควรจะเป็นคนดีหมดจด หรือจริงๆ แล้วฮีโร่ก็มีด้านหม่นมืดได้
ผมคิดว่ามีได้นะ ถ้าเราจะตีความว่าฮีโร่คือมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นคนคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งมนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีด้านไม่ดีไม่งามของตัวเองทั้งนั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะแสดงมันออกไปให้คนอื่นเห็นหรือเปล่า ซึ่งถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ใครเดือดร้อน ผมคิดว่าคงไม่เป็นไรมั้ง
ถ้าเลือกได้คุณอยากเป็นฮีโร่ไหม
ผมอยากเป็นคนธรรมดามากกว่าครับ ผมไม่ได้อยากเป็นจุดเด่น หรือจุดรวมความสนใจของคนอื่น ผมคิดว่าการเป็นฮีโร่มันค่อนข้างลำบากนะครับ อย่างในเรื่องซูเปอร์แมนก็ต้องเป็นคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่นตลอดเวลา แล้วผมจะรู้สึกว่าเขามีการแบ่งเวลาให้กับด้านชีวิตทั่วๆ ไปที่ดีมาก ซึ่งเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าเขา เลยคิดว่าไม่ควรไปยกตัวเองสูงขนาดนั้น ผมคิดว่าการเป็นนักแสดงจะทำให้เรากลายเป็นจุดสนใจก็จริง แต่มันคงดีกว่าซูเปอร์ฮีโร่เยอะ เพราะในสายตาคนทั่วไปจะมองว่าฮีโร่ทำอะไรแย่ๆ ไม่ได้เลย
คิดว่าโลกนี้จำเป็นต้องมีฮีโร่ไหม
ผมคิดว่าถ้าทุกคนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เราไม่จำเป็นต้องมีฮีโร่ก็ได้นะครับ เพราะมันจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น ดังนั้นมันเลยไม่จำเป็น
ฮีโร่ทุกคนแม้จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน คุณเองมีจุดอ่อนบ้างไหม
ผมกลัวแมลงสาบครับ (หัวเราะ) ไม่ชอบ แต่ไม่ถึงขนาดเจอแล้ววิ่งหนีนะ แค่เดินหลบ แต่คือผมจะงงกับพฤติกรรมของแมลงสาบมากเลยนะ อย่างเวลาที่เราพยายามจะเดินหลบ มันก็จะเดินไปทางที่เราจะไปตลอดเลย (หัวเราะ)
จริงๆ แล้วการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่คุณตั้งใจไว้หรือเปล่า
ตอนแรกไม่ครับ แต่ตอนนี้พอเรามีโอกาสเราเลยอยากลองทำให้สุดความสามารถดู อีกอย่างคือเราอยากค้นหาว่านี่เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ หรือเปล่า ด้วยอายุของเราตอนนี้ที่อยู่ในช่วงวัยที่ต้องค้นหาตัวเองด้วย เราเลยอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ และตอนนี้ทุกอย่างในการทำงานมันล้วนเป็นสิ่งที่เราเก็บเกี่ยวเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตได้หมด ซึ่งผมก็ยอมรับนะครับว่าจริงๆ แล้วมันค่อนข้างเหนื่อย เชื่อว่าถ้าทุกคนได้ลองมาเล่นซีรีส์หรือเล่นละครก็คงจะบ่นว่าเหนื่อย แต่คือตอนนี้ถ้าเขายังไม่ไล่ ผมก็ยังไม่ไปไหนนะครับ (หัวเราะ)
สิ่งที่คาดหวังกับตัวเองในช่วงวัยนี้คืออะไร
เรียนจบในสี่ปีครับ
เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยไหวใช่ไหม
คิดว่ามันน่าจะสนุกนะครับ สนุกในเรื่องการแบ่งเวลา อย่างวันไหนที่มีเรียน ถ้าไม่เป็นจำเป็นจริงๆ เราจะพยายามไม่ขาดเด็ดขาด แต่ถ้าจำเป็นก็จะพยายามทำไปตามขั้นตอนหรือระบบ คือขอใบลา ไปคุยกับอาจารย์ หรือกับเพื่อนๆ เพื่อจดงาน และตามงานให้ทัน
คณะศิลปศาสตร์ สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่คุณเลือกเรียนน่าสนใจอย่างไร
ผมชอบเรียนวิชาสังคมหรือภาษามากกว่าวิชาวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์อยู่แล้วน่ะครับ แล้วที่เลือกสาขานี้เพราะผมคิดว่ามันจะได้เรียนกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเราเพิ่งเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เลยคิดว่าถ้าเราเรียนด้านนี้เราน่าจะมีโอกาสในการหางานทำเยอะกว่าคนอื่น รู้สึกว่ามันน่าจะเปิดกว้างกว่าคนอื่น คือผมก็ชอบประเทศไทยที่สุดนะ แต่คิดว่า ถ้ามีโอกาสได้ไปทำงานที่อื่นก็อยากทดลองดูบ้าง
สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดตลอดชีวิต 19 ปีที่ผ่านมาคืออะไร
ที่ดีใจมากสุดๆ จริงๆ คือตอนสอบเข้าม.ต้น ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยได้ เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราตั้งใจมาก ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจทำข้อสอบ แล้วเราทำมันได้ คือตอนแรกผมไม่ได้อินกับการเข้าเรียนที่นี่อะไรนะครับ แต่พอพี่เข้าเรียนที่นี่ได้ แม่เขาเลยอยากให้เรียนที่เดียวกัน มันเลยเป็นอารมณ์แบบเด็กๆ ที่อยากทำตามความคาดหวังของแม่ให้ได้น่ะครับ
สำหรับคุณสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคืออะไร
ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลานะครับ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกแบบผมหรือเปล่านะ แต่อย่างตัวผม จะรู้สึกว่าตอนเด็กๆ เวลามันเดินช้ามาก กว่าจะหมดหนึ่งวันทำไมช่างยาวนานเหลือเกิน แต่พอเราโตขึ้น ได้ทำอะไรเยอะขึ้น มีงานให้ต้องทำ ต้องเรียนหนังสือ ผมจะเริ่มรู้สึกว่าเหมือนเวลามันจะเคลื่อนผ่านไปเร็วมาก อยู่ๆ ดี แป๊ปๆ ก็รู้สึกว่า อ้าว วันนี้หมดวันแล้วเหรอ ยังรู้สึกว่า ตอนเช้าเราเพิ่งเดินขึ้นรถไปเอง
สิ่งที่อยากเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุดในช่วงที่เวลาวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบนี้คืออะไร
น่าจะเป็นเพื่อนครับ สังคมของเพื่อน ซึ่งตอนนี้พอเรามาทำงานเป็นนักแสดงแล้ว ผมก็ยังหาเวลาไปเจอเพื่อนตลอดนะครับ ไปดูหนัง ฟังเพลง ซื้อของ เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป
บทสัมภาษณ์โดย ฆนาธร ขาวสนิท จากคอลัมน์ Face-giraffe magazine Issue 48 HERO