ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด อาจจะเพราะการปรากฏตัวของ เอดดี เรดเมน (Eddie Redmayne) บนหน้าโปสเตอร์ของซีรีส์ ทำให้ผมตัดสินใจกดเข้าไปดู The Day of the Jackal (2024) ก่อนจะพบว่าได้นำพาความซวยมาให้กับตัวเองเสียแล้วหลังดูจบไปเพียงหนึ่ง เพราะความซวยที่ว่าก็คืออาการติดซีรีส์นั่นเอง
อาจจะฟังดูเวอร์เกินไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือประสบการณ์จริงที่ผมได้รับตลอดการนั่งดูนอนดู The Day of the Jackal จนครบสิบตอน และหากพ้นไปจากความสนุกชวนติดหนึบจนไม่มีอันไปทำอะไรแล้วล่ะก็ ตัวซีรีส์ยังทิ้งประเด็นเช่นการตกเป็นทาสเงินตรา ศีลธรรมในการฆ่า และความชอบธรรมของการโกหกไว้ให้คิดต่อ
The Day of the Jackal เล่าถึงปฏิบัติการของนักฆ่าผู้ใช้ชื่อรหัสว่า ‘แจ็กคอล (Jackal)’ เขาคือสไนเปอร์มือฉกาจชนิดหาตัวจับยาก ทั้งยังเชี่ยวชาญศิลปะการปลอมตัวในระดับพอๆ กันกับทักษะความแม่นปืนอีกด้วย แจ็กคอลคือมือสังหารฉายเดี่ยวที่ไม่เคยทำงานพลาดและไม่เคยทิ้งร่องรอยให้ใครตามหาเจอ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคือการจับจ้องไปยัง ‘เบียงก้า พูลแมน’ ที่รับบทโดย ลาชานา ลินช์ (Lashana Lynch) เจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนแห่ง MI6 ของสหราชอาณาจักร ผู้และรับภารกิจตามล่าตัวแจ็กคอล
สำหรับผมซีรีส์คือประตูบานแรกที่พาไปรู้จักนักฆ่ามาดนิ่งนามแจ็กคอล แต่ถ้าว่ากันตามจริง The Day of the Jackal ก็ไม่ใช่เรื่องราวใหม่อะไร ซีรีส์ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของ เฟรเดอริก ฟอร์ไซธ์ (Frederick Forsyth) และเคยถูกหยิบมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วในชื่อเดียวกันเมื่อปี 1973 กำกับโดย เฟร็ด ซินเนมันน์ (Fred Zinnemann) นำแสดงโดย เอ็ดเวิร์ด ฟ็อกซ์ (Edward Fox) และอีกครั้งหนึ่งในปี 1997 ในชื่อ The Jackal กำกับโดย ไมเคิล คาตัน-โจนส์ (Michael Caton-Jones) นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) ดังนั้น หากจะทำให้ง่าย ตัวซีรีส์ที่ทำขึ้นใหม่นี้ก็มีแม่แบบให้เจริญรอยตามอยู่แล้ว
ทว่าผู้สร้าง โรแนน เบ็นเน็ตต์ (Ronan Bennett) ก็ไม่ต้องการจะชุบชีวิต The Day of the Jackal ด้วยการเล่นท่าง่าย ความน่าสนใจแรกของซีรีส์คือการดำเนินเรื่องด้วยการติดตามปฏิบัติการของนักฆ่าและการตามล่านักฆ่าของเจ้าหน้าที่ในลักษณะแมวจับหนูจากหลายเส้นเรื่อง
โดยเส้นเรื่องหลักคือการสลับไปมาเป็นเส้นขนานระหว่างแจ็กคอลและเบียงก้า แทรกด้วยเส้นเรื่องรองที่ฉายภาพครอบครัวของทั้งสองฝั่งนั่นคือ ภรรยาของแจ็กคอลที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเธอได้แต่งงานและมีลูกกับนักฆ่า และฝั่งสามีและลูกสาวของเบียงก้าที่ต้องพยายามปรับตัวกับการทำงานอย่างไม่เคยลดละของคนเป็นแม่ การต้องรับมือกับชีวิตนอกงานทำงานของทั้งแจ็กคอลและเบียงก้านี่เองที่ตัวซีรีส์สามารถต่อขยายออกมาได้อย่างชาญฉลาด และทำให้ตัวมันเองแตกต่างจากหนังสือและภาพยนตร์ที่เคยมีมาก่อน
คงไม่ต้องพูดให้มากความว่าความเป็นแจ็กคอลนั้นเข้าข่ายหนังแนวแอ็กชั่นสายลับเต็มประตู ยิ่งตัวละครหลักมีพื้นเพและทำงานอยู่ในสหราชอาณาจักรด้วยแล้ว ก็ไม่พ้นที่ตัวซีรีส์จะมีกลิ่นอายของความเท่แบบผู้ดีอังกฤษที่เรามักสัมผัสได้จากแฟรนไชส์อย่าง James Bond ตลอดเรื่องเราจึงเห็นและรู้สึกถึงความเท่ได้ชัดเจนจากบุคลิกและความช่างเลือกของแจ็กคอล ทั้งความสุขุม ความทะมัดทะแมง การแต่งตัวด้วยสูทที่เห็นถึงความเนี้ยบ ตั้งแต่การตัดเย็บเนื้อผ้า ไปจนข้าวของเครื่องใช้ที่คัดสรรมาอย่างดีที่จัดวางอย่างเป็นระบบ และขาดไปไม่ได้คือนาฬิกาสไตล์เดรสวอชของ Omega หลายเรือน พร้อมบรรดารถหรูนับไม่ถ้วน
ในความเท่ที่คล้ายกันนั้น The Day of the Jackal ก็ต่างออกไปจากหนังหรือซีรีส์สายลับนักฆ่าด้วยบรรยากาศเรียบนิ่ง ฉากแอ็กชั่นที่วางไว้อย่างเหมาะเจาะพอดี และบางทีอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำหากเทียบกับหนังหรือซีรีส์ประเภทเดียวกัน แต่มันกลับเข้ากันได้พอดีกับตัวตนของแจ็กคอล นักฆ่าผู้วางแผนบนความเพอร์เฟ็กต์ ดำเนินการตามแผนด้วยความใจเย็น ทั้งยังมองการฆ่าด้วยแว่นตาของศิลปิน การฆ่าของเขาคือการทำงานศิลปะ ซึ่งคนดูจะได้เป็นประจักษ์พยานผ่านวิธีสังหารที่นับว่าสร้างสรรค์ และทึ่งกับการประยุกต์ใช้วิทยาการสมัยใหม่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการปลิดชีพเป้าหมาย หากเทียบกับหนังหรือซีรีส์สไนเปอร์ไม่ว่าจะ Shooter (2007) หรือ American Sniper (2014) วิธีฆ่าของแจ็กคอลก็นับว่าร่วมสมัยและมอบความแปลกใหม่ให้ได้ไม่น้อยทีเดียว
เป็นที่รู้กันว่าหนังแนวแอ็กชั่นสายลับจะยึดโยงกับประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ การมีลับลมคมในระหว่างประเทศ และ The Day of the Jackal ก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องในเรื่องนั้น ทว่าตัวเรื่องก็ดูจะเน้นหนักไปที่การตั้งคำถามให้คนดูสงสัยถึงสาเหตุที่ผลักให้แจ็กคอลผันตัวมาเป็นมือสังหาร ด้วยเราต่างรู้กันดีว่าไม่มีใครเป็นนักฆ่ามาตั้งแต่เกิด ต้องมีอะไรบางอย่างหรือบางเหตุการณ์ที่เปลี่ยนให้แจ็กคอลยอมจำนนต่อเม็ดเงินอันมหาศาลและสังหารบุคคลสำคัญระดับโลกด้วยท่าทีเรียบนิ่งไม่ยี่หระใดๆ กระทั่งตัวคนดูเองก็ตกเป็นทาสของภารกิจอันแสนระทึกและท้าทายนั้น คอยลุ้นว่าแจ็กคอลจะวางแผนอย่างไร จะหนีรอดได้ไหม โดยรู้ทั้งรู้ว่าเรากำลังเชียร์ให้ฆาตกรลอยนวล
ฉากหนึ่งที่ผมประทับมากและทำให้เห็นว่าการฆ่าและเงินตรานั้นฝังลึกลงไปในเนื้อตัวของแจ็กคอลแค่ไหน คือเหตุการณ์หลังจากที่ ‘นูรีอา’ รับบทโดย เออร์ซูลา คอร์เบโร (Úrsula Corberó) ภรรยาของแจ็กคอลรู้ว่าสามีของเธอคือนักฆ่า มันคือซีนอารมณ์ที่คนเป็นเมียต้องการคาดคั้นให้ผัวย้ำเตือนกับตัวของเขาเองว่า สิ่งที่เขาทำไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการฆ่าเพื่อเงิน
อีกข้อสังเกตที่น่าพูดถึงที่สุดของ The Day of the Jackal เห็นจะเป็นความยอดเยี่ยมในการสะท้อนถึงคำหลอกลวงในฐานะเครื่องมือหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย แจ็กคอลใช้คำลวงเป็นส่วนสำคัญทั้งในแผนการสังหารและแผนการหลบหนี รวมถึงสร้างโลกอีกใบสำหรับครอบครัวขึ้นมา สิ่งเทียมบนในหน้าและการปลอมแปลงก็เป็นหนึ่งในการหลวงหลอกนั้นเช่นกัน
ทว่าก็ไม่ใช่แค่แจ็กคอลที่หลอกเก่ง เบียงก้าคืออีกคนหนึ่งที่โกหกได้อย่างร้ายกาจและเป็นธรรมชาติ เธอล่อลวงสายข่าวให้คายแหล่งกบดานของนักประดิษฐ์ปืน ด้วยการแสร้งว่าจะช่วยเหลือ เบียงก้ายอมโกหกนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ในแง่นี้ คำลวงจึงคือกระสุนที่กราดยิงแบบไม่บันยะบันยัง เพื่อหวังผลไปสู่กระสุนนัดสุดท้ายที่จะใช้ลั่นไกสังหารเป้าหมายและจบภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา ในอีกความหมายหนึ่ง คำโกหกที่นำไปสู่การตายของใครสักคนนั้นจึงเป็นตราบาปที่ทั้งแจ็กคอลและเบียงก้าต้องแบกรับไว้ตลอดทั้งเรื่อง
การนำแจ็กคอลกลับมาในปี 2024 และได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ส่วนหนึ่งต้องยกให้การแสดงของเอดดี เรดเมน หากใครเคยดูการแปลงเป็นหญิงข้ามเพศ The Danish Girl (2015) จะพบว่าเอดดีคือนักแสดงที่ลืนไหลในหลายบทบาท และนั่นก็ต่อยอดมาถึง The Day of the Jackal ที่เขาต้องสวมหน้ากากเพื่อปลอมตัวในหลากบุคลิก ตั้งแต่หนุ่มเยอรมันขากะเผลก ไปจนคนทำความสะอาดแก่หง่อม และหากพูดมาถึงตรงนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ทีมเมกอัพและช่างคอสตูมของซีรีส์ ที่ทำให้การปลอมตัวนั้นดูสมจริง เสื้อผ้าเครื่องแต่กายดูสมกับตัวตนของแจ็กคอล
สำหรับผม องค์ประกอบสุดท้ายที่ The Day of the Jackal ทำได้ตราตรึงใจและโสตประสาท คือเหล่าเพลงรวมถึงเหล่าดนตรีแบ็กกราวด์ที่เข้ากันได้ดีเสียเหลือเกินกับตัวซีรีส์ เช่น เพลง This Is Who I Am โดย Celeste ที่ทรงพลังในระดับเดียวกับแม่ Adele มาร้องเพลงเปิดให้หนัง James Bond หรือการเปิดฉากด้วยเพลง Everything In Its Right Place ของ Radiohead ในขณะที่แจ็กคอลกำลังปลอมตัว สะท้อนได้ดีถึงความเป็นตัวละครแจ็กคอลที่เตรียมแผนการด้วยความพิถีพิถัน แยบยล การสังหารจะต้องบรรลุผลเพราะทุกอย่างอยู่ในที่ทางที่มันควรจะเป็นแล้ว
สุดท้ายแล้วความเท่ของซีรีส์และตัวละครแจ็กคอล ในแง่หนึ่งอาจจะกลายเป็นความน่ากังวลและอันตรายเสียเอง เมื่อตัวเรื่องได้วางกรอบให้นักฆ่ามาคู่กับลุคเจ๋งๆ คูลๆ ทั้งยังเก่งกาจจนน่าชื่นชม การนั่งดู The Day of the Jackal จึงเป็นเหมือนการทดลองชั่งน้ำหนักทางศีลธรรม เป็นการเชียร์และปฏิเสธการฆ่าของแจ็กคอลในเวลาเดียวกัน ในเรื่องแต่งเราอาจลุ้นให้ฆาตกรรอด แต่ในโลกความเป็นจริงเราต่างหวังให้คนทำผิดได้รับโทษ
แม้ไม่รู้ว่าชะตากรรมของนักฆ่ามาดเท่คนนี้จะไปจบลงตรงไหน The Day of the Jackal ก็อาจสะท้อนความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ตำตาว่า หลายครั้งคนผิดไม่ได้รับโทษให้สมกับสิ่งที่ทำเอาไว้ ซ้ำบางรายยังคงเชิดหน้าชูตา