กว่า 24 ปี หลังจาก Björk อวตารลงบนวงการดนตรีทั่วโลกด้วยอัลบั้ม Debut ตั้งแต่ตอนนั้น ทัศนคติของนักฟังเพลงบนโลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บ้างอุดหู บ้างชื่นชม ที่สำคัญมันเปิดกว้างศาสตร์ของดนตรีในแบบที่ใครยากจะลอกเลียนแบบ
เพลงของ Björk ทำลายกฎและโครงสร้างของเพลงอย่างไม่ปราณี และไม่เสียเวลาสร้างความคุ้นชินให้กับคนฟัง เพลงของเจ๊ป่วงเหมือนที่ตัวเจ๊ป่วงนั่นแหละ ไม่เสียเวลามานั่งคิดว่าใครจะคิดยังไงกับนาง
ถ้ามองแบบมุมกว้าง เพลงของ Bjork เป็นแบบไหน? เพลงของ Bjork เคลื่อนไหวอยู่บนซาวด์อิเล็กทรอนิก ให้ความรู้สึกเหมือนทั้งจักรวาลมีนางเป็นคอนดักเตอร์ ดวงดาวและสภาวะอากาศเป็นเหมือนเสียงดนตรีและเมโลดี้
คำว่าศิลปินที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครอาจฟังดูน่าเบื่อไปสำหรับ Björk ถ้าคุณสมบัติที่ดีของศิลปินคือสร้างสรรค์งานใหม่ๆ อยู่เสมอ Björk ก็ไปไกลเกินกว่าที่จะจำกัดความด้วยคำว่า ‘ศิลปิน’
Björk Guðmundsdóttir (ออกเสียงแบบ Work ไม่ใช่ Pork) เกิดที่ Iceland ประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าเกาะภูเก็ต ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป ในวัยที่ยังเป็นผ้าขาว เด็กน้อย Björk ฉายแววเป็นเด็กมหัศจรรย์ด้วยอายุเพียง 11 ปี เพลงที่น้องหนูร้องคัฟเวอร์ที่โรงเรียนอย่าง I Love To Love ถูกเปิดในคลื่นวิทยุที่ไอซ์แลนด์ จนค่ายเพลงมาได้ยินถึงกับต้องจับเซ็นสัญญาเข้าค่ายมันซะเลย และเข็นให้มีอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับนางในวัยเพียง 12 ปี
ถึงแม้อัลบั้มจะขายไม่ได้ถึงล้านตลับแบบอมิตตา ทาทา ยัง แต่สาวน้อยมหัศจรรย์ Björk ก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา ในช่วงเวลาวัยรุ่น Björk ผ่านการค้นหาตัวเองมากมาย หลากหลายวง เริ่มเล่นภาพยนตร์ มีลูก ไปจนถึงมีอัลบั้มพังก์ร็อกกับวง Tappi Tíkarrass และเริ่มมีชื่อเสียงออกมานอกเกาะไอซ์แลนด์กับวง The Sugarcubes ที่มีซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษเพลงแรกในชีวิตนางคือ Birthday หลังจากมีอัลบั้มอยู่สามชุด Björk ตัดสินใจฉายเดี่ยวและโกอินเตอร์ด้วยเพลง Sexy, Naughty, Bitchy (อันนี้พูดเล่น)
ตามสุภาษิตไทย ‘ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่’ ฉันใด ดู Björk ก็ให้ดูคนที่นางร่วมงานฉันนั้น ความเก่งของ Björk นอกจากจะสร้างสรรค์ซาวด์ แต่งเพลงเองแล้ว เคล็ดลับอีกอย่างของเจ๊ป่วง คือนางรู้จักการเลือกใช้คน ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ ช่างภาพ ดีไซเนอร์ทั้งอาร์ตเวิร์กและการแต่งตัว—คำแนะนำ : ควรก็อปชื่อศิลปินเหล่านี้ เสิร์ช google เพื่อไปติดตามผลงานต่อกันเอง
อัลบั้ม Debut และ Post (1992-96)
สาวน้อยบ้านนาในเมืองกรุง เริงเมืองกับ Nellee Hooper
Debut
– Co-Produced : Nellee Hooper
– Artwork Photograph : Jean-Baptiste Mondino
– Music Videos : Michel Gondry, Sophie Muller, Danny Cannon, Stéphane Sednaoui, Jean-Baptiste Mondino
Post
– Co-Produced : Nellee Hooper, Graham Massey, Tricky, Howie B
– Photograph : Stéphane Sednaoui
– Design : Paul White แห่ง Me Company
– Music Videos : Michel Gondry, Spike Jonze, Stéphane Sednaoui, John Kricfalusi
โซโลอัลบั้มโกอินเตอร์ชุดแรกแบบประกาศให้โลกรู้ Debut และอัลบั้มชุดที่สอง Post ชื่ออัลบั้มง่ายๆ แบบสิ้นคิด แต่เพลงมาแบบจัดเต็ม ทั้งซาวด์ดุดันแบบเทคโนและอินดัสเทรียส พาเต้นให้ประสาทเสีย และดนตรีอาร์ตป็อปผสมแจ๊ซ แอมเบียนซ์ ทริปฮอปลอยหลอน
Björk กลายเป็นศิลปินแนวหน้าของวงการเพลง จน Madonna ชวนมา feat. ด้วย แต่นางทำเก๋ปฏิเสธ แล้วส่งเพลงที่แต่งไปให้แทน ทำให้ Bedtime Stories กลายเป็นหนึ่งเพลงที่เก๋และอาร์ตที่สุดของ Madonna ไปโดยปริยาย นอกจากนี้เจ๊ป่วงยังสร้างวีรกรรมเด็ดดวง iconic แห่งยุค 90’s ให้กับเมืองไทย ด้วยการตบนักข่าวไทยที่สนามบินดอนเมืองมันซะเลย หลังจากนักข่าวคนนั้นพูดว่า Welcome To Bangkok!
Homogenic (1997)
สำนึกรักบ้านเกิด ส่งโอท็อปไปนอกโลกกับ Mark Bell ในลุคควีนนักสู้โดย Alexander McQueen
– Co-Produced : Mark Bell, Guy Sigsworth, Howie B, Markus Dravs
– Fashion Design : Alexander McQueen
– Photograph : Nick Knight
– Music Videos : Michel Gondry, Paul White, Alexander McQueen, Chris Cunningham
Homogenic เป็นเหมือนจดหมายรักของเธอกับบ้านเกิด อัลบั้มที่บอกเล่าเรื่องราวของดินแดนน่าค้นหาอย่างไอซ์แลนด์ ประเทศที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติทั้งภูเขาไฟ น้ำพุ มหาสมุทร หิมะ ฝน ฯลฯ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทั่วถึง Homogenic จึงเป็นการผสมผสานดนตรีสมัยใหม่แบบดนตรีเทคโนกับดนตรีแบบคลาสสิคอย่างออเครสต้า
เฉกเช่นเดียวกับปกอัลบั้มฝีมือของ Alexander McQueen ที่กลายเป็นหนึ่งในปก iconic แห่งยุค 90’s การแต่งกายที่เป็นผสมผสานชุดจากหลากหลายวัฒนธรรมในคอนเซ็ปต์นักรบหญิง ที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่ต่อสู้ด้วยความรัก! นี้! ไม่มุกนะว้อย เรื่องจริง คอนเซ็ปต์เชยแต่ภาพออกมาสวยงามอย่างที่เห็น ไม่ต้องสงสัย Homogenic คือเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีชของ Bjork นอกจากนี้มันยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Radiohead ที่ไม่นาน พวกเขาก็ทำเพลงออกไปนอกโลกจนถึงทุกวันนี้
Vespertine (2001)
รักใสๆ หัวใจสองดวงของนางพญาหงส์เหินกับ Matthew Barney และการมาของดีไซเนอร์คู่บุญ M/M Paris
– Co-Produced : Thomas Knak, Martin Gretschmann, Marius de Vries
– Art Direction : M/M Paris
– Photograph : Inez and Vinoodh
– Fashion Design : Marjan Pejoski
– Music Videos : M/M Paris, Inez and Vinoodh , Nick Knight, Eiko Ishioka
ถ้าชุดยีนส์ของ Britney Spears กับ Justin Timberlake คือความอัปยศอดสู ควรปาหินใส่ที่สุดในยุค 2000 ชุดหงส์ขาวของเจ๊ป่วงก็คือความสง่างามและภาคภูมิใจของวงการเพลง
อัลบั้ม Vespertine มาพร้อมกับชุดหงส์ขาวที่ใครเห็นก็ไม่ลืม กับช่วงเวลายุคสมัยที่อินเตอร์เน็ตกำลังค่อยๆ คืบคลานมาถึงวงการเพลง ถ้าใครเกิดทันจะรู้ว่าเว็บไซต์ดาวน์โหลดเถื่อน Napster กลายเป็นปรสิตและศัตรูร้ายของศิลปิน เจ๊ป่วงของเราเลยได้ไอเดียอยากจะทำอัลบั้มที่มีโครงสร้างอลังการ ไม่เหมาะกับฟังจากไฟล์ดาวน์โหลดห่วยๆ นางเลยขนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายมาเพียบเช่น Harp พิณใหญ่ๆ ที่เราชอบเห็นกันในหนังการ์ตูนเจ้าหญิง
นอกจากนี้ยังทำกล่องดนตรีขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ซาวด์โดยเฉพาะอีกด้วย ผลลัพท์ที่ออกมาเลยไม่น่าแปลกใจนักที่ Vespertine จะพาเราจมดิ่งไปกับความสวยงามแบบเย็นยะเยือก ดนตรีแบบกรุ๊งกริ๊งก่องแก้วเหมือนน้ำแข็งค่อยๆ แตกอะไรแบบนั้น เนื้อเพลงของอัลบั้มส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรักครั้งใหม่ของ Bjork กับ Matthew Barney ศิลปินชาวอเมริกัน ที่อีกหนึ่งปีหลังจากนั้น ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน
Medúlla (2004)
ต่างกันแค่เพียงร่างกาย แต่ใจเราก็เหมือนเหมือนกัน ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
– Co-Produced : Mark Bell
– Art Direction : M/M Paris
– Mask Design : Shoplifter
– Photograph : Inez and Vinoodh
– Music Videos : Lynn Fox, Dawn Shadforth, Spike Jonze, Gabríela Friðriksdóttir
“ถ้าให้ต้องบอกว่าใครคือผู้ที่มีอิทธิพลกับฉันมากที่สุด แน่นอนว่ามันต้องมีชื่อของ Stockhausen, Kraftwerk, Brian Eno และ Mark Bell”
Bjork กลับมาร่วมงานกับ Mark Bell อีกครั้งใน Medúlla อัลบั้มที่กลับไปสู่ความเรียบง่าย แต่ฟังไม่ง่ายแน่นอน คอนเซ็ปต์ของการทำเพลงเกิดขึ้นจากการใช้เสียงมนุษย์เป็นหลัก ทั้งเสียงร้องของ Bjork การร้องแบบอะแคปเปล่าและซาวด์บีทบ็อกส์ บนแบ็กกราวน์ของบีทอิเล็กทรอนิกมินิมอลแต่ดุๆ ของ Mark Bell
ความเป็นมนุษย์ยังตีวงกว้างไปถึงอาร์ตไดเร็กชั่น Bjork ชวน Shoplifter เพื่อนสาวที่เป็นศิลปินชาวไอซ์แลนดิกมาช่วยทำหน้ากากให้ หน้ากากทั้งหมดถูกทำจากผมมนุษย์ และไทโปกราฟีที่ออกแบบโดย M/M Paris ถูกดีไซน์ให้มีรูปแบบของกระดูกคน
หมู่เถาวัลย์ป่าใบสี อิสระภาพของชนเผ่าที่พัทยาจากดาว Bjork
– Co-Produced : Timbaland, Danja, Mark Bell, Damian Taylor
– Fashion Design : Bernhard Willhelm
– Photograph : Nick Knight
– Music Videos : Michel Ocelot, Fred & Annabelle, Michel Gondry, Encyclopedia Pictura, Christoph Jantos, Masahiro Mogari, Marçal Cuberta Junca
Volta สร้างความฮือฮาจากการที่ Bjork ตกลงร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังจากฝั่งฮิปฮอปอย่าง Timbaland ผลที่ออกมาเลยกลายเป็นซาวนด์แบบชนเผ่าที่ทั้งคู่สนใจร่วมกันในเวลานั้น และเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ Bjork ตั้งใจให้มีความสนุกอยู่เต็มเปี่ยม
แทร็คที่ดีที่สุดในอัลบั้มคือ Declare Independence ดนตรีเทคโน-พังก์กับการสนับสนุนให้รัฐที่ถูกเอาเปรียบ ประกาศเอกราชจากการถูกกดขี่ วีรกรรมที่โด่งดังไปทั่วโลกคือขณะที่เจ๊แกแสดงสดเพลงนี้ที่เซี่ยงไฮ้ นางตะโกน Tibet Tibet! ต่อหน้าแฟนเพลงชาวจีนมากมาย
แน่นอนว่าหลังจากนั้นคือนางโดนรัฐบาลจีนแบนแบบไม่เหลือซาก มาถึงปีปัจจุบัน Bjork ยังคงมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ นางโพสต์เพลงนี้ให้ชาวคาตาลุญญ่า เพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจจากกรณีประกาศแยกเอกราชจากประเทศสเปน
Biophilia (2011)
ทุกชีวิต ทุกฝ่าย เบิกบาน มีคนมีต้นไม้ มีจักรวาลลลล
– Co-Produced : 16bit
– Art Direction : M/M Paris
– Photograph : Inez and Vinoodh
– Fashion Design : Iris van Herpen
– Music Videos : Maria Lindberg, Michel Gondry, Björk, Inez and Vinoodh, M/M Paris, James Merry, Drew Berry, Andrew Thomas Huang
Biophilia พูดถึงความสัมพันธ์กันของธรรมชาติ ดนตรี เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกันของสิ่งต่างๆ บนจักรวาล ชุดนี้จะเน้นหนักไปทางเทคโนโลยีล้ำโลกเยอะๆ มีผลิตเครื่องดนตรีเป็นของอัลบั้มเองด้วย ทั้งหมดถูกมัดรวมกันจนออกมาเป็น ‘App Album’ แรกของโลก ที่แต่ล่ะเพลงจะมี App เฉพาะตัวของตัวเองตามลักษณะเพลง นอกจากนี้ยังมีเกมสร้างความรู้ให้เด็กๆ เข้าใจการเชื่อมโยงกันของวิทยาศาสตร์และดนตรีอีกต่างหาก ลองเข้าไปเล่นกันดูได้ที่ biophiliaeducational.org
เลิกกับผัว จมดิ่งสู่ความดาร์ก และการพบ Arca ลูกรักนอกมดลูกของ Bjork
– Co-Produced : Arca, The Haxan Cloak
– Art : Andrew Thomas Huang
– Design : M/M Paris
– Photograph : Inez and Vinoodh
– Music Videos : Inez and Vinoodh, Andrew Thomas Huang, Jesse Kanda, Warren Du Preez and Nick Thornton Jones, Dentsu Lab Tokyo, Björk, James Merry
เจ๊ป่วงเลิกกับผัว Matthew Barney ที่คบรักกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่อัลบั้ม Vespertine หลังจากหย่ากับผัว เจ๊ไม่เป็นอันกินอันนอน หนทางเดียวจะเยียวยาจิตใจอันแตกสลายได้ คือการแต่งเพลงนั่นเอง
Bjork กลับไปสู่การทำเพลงกับเครื่องสายอีกครั้ง Vulnicura นี้จึงเต็มไปด้วยความอีโมชั่นหนักๆ ท่ามกลางเครื่องสาย และดนตรีเอเลี่ยนแบบ Arca ศิลปินตุ๊ดเด็กที่มาแรงมากกับดนตรีอิเล็กทรอนิกแนวทดลอง และต่อมา Arca ก็กลายเป็นลูกรักของ Bjork ทันที ตัวติดกันและออกทัวร์ด้วยกันตลอด
อัลบั้ม Tinder ของเหล่าเอเลี่ยนและโลก
– Co-Produced : Arca
– The Gate MV : Andrew Thomas Huang
อัลบั้มชุดใหม่ที่นางยังคงหิ้วลูกรัก Arca มาทำเพลงร่วมกันอีก ไม่ต้องฟังก็รู้เลยว่าดนตรีมันจะมาทางไหน มันต้องมาสายดาร์กๆ แบบด้านมืดของโลกเอเลี่ยนตามแนว Arca แน่นอน และพอซิงเกิ้ลแรก The Gate ออกมา ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ภาพในเอ็มวีมาพร้อมกับเดชอภินิหารเง็กเซียน Bjork ที่ตอนท้ายสังวาสกับหุ่นยนต์ ai มันซะเลย ตอกย้ำให้เราเห็นภาพชัดๆ ของคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่นางเคยบอกว่าเป็นโลก Utopia ให้แบบฉบับของ Bjork มันเหมือนอัลบั้ม Tinder ที่เจ๊เราจะส่งต่อความรักให้คนฟัง สไลด์ขวารัวๆ ไปต้องยั้งให้มือหงิกกันไปข้าง
Utopia มีคิววางบนโลกเดือนพฤศจิกายน ที่แน่นอนว่ารับประกันความป่วงเหมือนเดิม แต่จะพีคมากน้อยขนาดไหน หรือจะเป็นเพียงแค่อีกหนึ่งอัลบั้มของ Bjork ก็คงต้องรอดูกันอีกที แต่ที่แน่ๆ มันคือหนึ่งในอัลบั้ม A MUST ของปีนี้ ยิ่งถ้าเป็นแฟน Bjork แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะพลาด เพราะเหมือนเป็นภาระและหน้าที่ของประชาชนดาว Bjork พึงทำ