ใครเคยดู ‘ใจดีทีวี’ จะรู้ดีว่าเผ็ด ด้วยคาแรคเตอร์จัดๆ ของ ปอนด์—ภริษา ยาคอปเซ่น ที่สร้างสีสันให้โลกอินเทอร์เน็ตเมืองไทยมาตั้งแต่ยุคแรกๆ และในวันนี้เธอได้กลายเป็นพิธีกรมืออาชีพทางช่องเวิร์คพอยท์รวมถึงสื่ออื่นๆ อย่างที่เคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก
ย้อนสู่จุดแจ้งเกิด ด้วยความชอบทำการแสดงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อต้องอยู่ว่างๆ ที่ประเทศนอร์เวย์ เธอจึงเริ่มทำคลิปเลียนแบบคาแรคเตอร์ในสังคมเช่นการ พูดไทยคำอังกฤษคำ สาวออฟฟิศจอมเมาท์ เน็ตไอดอลหรือสาวจอมแอ๊บ ฯลฯ จนโด่งดังและติดลมบนมาอยู่ในเพจ Jaidee TV อย่างทุกวันนี้ และเธอก็ไม่ค่อยหยุดแค่นั้น ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่นอร์เวย์ เพื่อมาทำตามความฝันที่อยากเป็นพิธีกรในเมืองไทย จนมีงาน มีพื้นที่แสดงออกของตัวเองในเอกลักษณ์ที่ยากจะหาใครเหมือน
ในขณะที่เมื่อได้เจอตัวจริง หลายคนอาจคิดว่าปอนด์เป็นคนซอฟต์กว่าที่คิด แต่สำหรับเราแล้ว เราว่าเธอเป็นคนสนุกอย่างที่เราเห็นผ่านหน้าจอนั่นแหละ แต่ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีความเฉียบคม ทั้งในความคิด ความเข้าใจโลก เข้าใจความสุขทุกข์ของตัวเอง รวมถึงพลังอันแรงกล้าในความเป็นพิธีกรที่มีดีตรง ‘ความคิด’ และการ ‘ตั้งคำถาม’ ที่ทำให้ปอนด์กลายเป็น ‘แจ้’ ของใครหลายคนอย่างทุกวันนี้
ในยุคที่เริ่มทำใจดีทีวี เวลาเราเปิดเว็บหรือดูในสื่อของไทย เราจะเห็นคาแรคเตอร์ซ้ำๆ ถึงจะเป็นคนละคนนะ เราก็หยิบคาแรคเตอร์เหล่านั้นมามัดรวมแล้วขยายผ่านการแสดงของเราเอง แต่คือเราไม่เคยคิดจะจิกกัดหรือเสียดสีใครนะ เราแค่รู้สึกว่าทำให้เหมือนคาแรคเตอร์นั้นแล้วมันขำดี
Life MATTERs : จากความเบื่อขณะที่อยู่ประเทศนอร์เวย์ ทำไมถึงเลือกแสดงเป็นคาแรคเตอร์ต่างๆ จนเกิดเป็นใจดีทีวี
ปอนด์ : เราเป็นคนชอบการแสดงอยู่แล้ว ตอนเด็กก็ชอบแสดงเลียนแบบอาจารย์คนนั้นคนนี้ เพื่อนก็จะชอบให้เราทำให้ดู ทีนี้ตอนนั้นก็เลยอัดคลิปเล่นส่งให้เพื่อนดู แล้วเพื่อนก็ขำเลยแชร์กันออกไป ซึ่งเราว่ายุคนั้นมันไม่มีใครทำอะไรแบบนี้มันก็เลยไปเร็วค่ะ ซึ่งคาแรคเตอร์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในยุคที่เริ่มทำใจดีทีวี เวลาเราเปิดเว็บหรือดูในสื่อของไทย เราจะเห็นคาแรคเตอร์ซ้ำๆ ถึงจะเป็นคนละคนนะ เราก็หยิบคาแรคเตอร์เหล่านั้นมามัดรวมแล้วขยายผ่านการแสดงของเราเอง แต่คือเราไม่เคยคิดจะจิกกัดหรือเสียดสีใครนะ เราแค่รู้สึกว่าทำให้เหมือนคาแรคเตอร์นั้นแล้วมันขำดี
Life MATTERs : มาจนถึงตอนนี้ ‘ใจดีทีวี’ มีที่ทางยังไง
ปอนด์ : เพจอื่นเขาทำแล้วพอมันไปได้ก็ได้เงินกันเนอะ แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะเราเองเป็นตัวแสดงก็จริงแต่คนที่คอยอัพมีมต่างๆ เป็นเพื่อนเรานะ กับเพื่อนคนนี้เขาไม่สะดวกเปิดเผยตัว ซึ่งเรามาทำด้วยกันในยุคที่ทำละครวิทยุในเพจใจดีนี่แหละ เพื่อนเป็นคนเขียนบท เราอ่าน ก็รู้สึกว่าสไตล์คล้ายๆ กัน ก็เลยทำมาต่อจนถึงทุกวันนี้ แต่เราก็มีคุยทิศทางกันอยู่เรื่อยๆ เพราะบางทีเพื่อนก็มีความจิกกัดมากเกินไปนิดหน่อย เราก็ไม่ค่อยเข้าไปอ่านคอมเมนต์ เราเองไม่ได้คาแรคเตอร์จิกขนาดในเพจนะ
Life MATTERs : แล้วตัวคุณปอนด์ที่แท้จริงเป็นคนยังไง
ปอนด์ : แท้จริงเราก็เป็นคนนอนกินมาม่า ดูทีวี สบายๆ ของเรานะ เพียงแต่เรามีมุมที่ชอบแสดงแล้วดันไปแสดงในสื่อที่ยุคนั้นยังไม่ค่อยมีใครใช้ก็เลยเป็นที่รู้จักเท่านั้นเอง ถ้าสมมติเราเริ่มทำใจดีทีวีเมื่อปีที่แล้วนะ ก็อาจจะไม่ดัง เพราะตอนนี้ตัวเลือกมันเยอะมาก แล้วอารมณ์ขันคนก็เปลี่ยนไป สิ่งที่เกิดวันนั้นกับวันนี้มันต้องให้ผลไม่เหมือนกัน เรามั่นใจ คือเราอาจจะสร้างสิ่งเดิมคืออยากให้คนอารมณ์ดี แต่วิธีการทำให้คนไปถึงจุดนั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนไป
เราก็คิดตลอดว่า งานวงการโทรทัศน์มันก็ไม่ได้แน่นอน เราก็ถามตัวเองมาตั้งแต่งานแรกว่าถ้าทำไปแล้วเขาเลิกจ้างล่ะ แต่สำหรับเรานี่คืองานในฝัน ได้ทำแค่สามวันก็ฟินแล้ว ได้ทำเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราได้สู้เพื่อมันไปแล้ว เวลาเราไปที่ทำงานเจอห้องพระเราจะชอบขอพรว่า ขอให้วันนี้ทำงานประสบความสำเร็จ คือมองเป็นวันๆ ไป ไม่ชอบช็อตไกล เผื่อไปไม่ถึงแล้วทำไง
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้ย้ายกลับมาเมืองไทย
ปอนด์ : ตอนนั้นมีช่วงที่เราไม่สบาย และพอฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วยเราก็รู้สึกว่าชีวิตนี้สั้นจัง อยากทำอะไรก็ต้องทำเลย แล้วเราฝันมาตลอดว่าอยากเป็นพิธีกร ก็ลองติดต่อไปที่บริษัทต่างๆ ก็ได้รับฟีดแบ็คมาว่าเค้าก็สนใจนะ แล้วช่วงนั้นเราต้องย้ายบ้านที่นอร์เวย์พอดี ก็เลยคุยกับสามีว่าไหนๆ แล้ว ก็ลองย้ายกลับมาไทยเลยไหม เราขอลองดูสักปีหนึ่ง ว่าฉันจะหางานในฝันฉันได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ก็ย้ายกลับ แล้วบังเอิญว่าตั้งแต่ปีนั้นจนถึงปีนี้ก็ยังมีงานอยู่ เลยได้อยู่มาถึงทุกวันนี้แหละค่ะ แต่เราก็คิดตลอดว่า งานวงการโทรทัศน์มันก็ไม่ได้แน่นอน เราก็ถามตัวเองมาตั้งแต่งานแรกว่าถ้าทำไปแล้วเขาเลิกจ้างล่ะ แต่สำหรับเรานี่คืองานในฝัน ได้ทำแค่สามวันก็ฟินแล้ว ได้ทำเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราได้สู้เพื่อมันไปแล้ว เวลาเราไปที่ทำงานเจอห้องพระเราจะชอบขอพรว่า ขอให้วันนี้ทำงานประสบความสำเร็จ คือมองเป็นวันๆ ไป ไม่ชอบช็อตไกล เผื่อไปไม่ถึงแล้วทำไง ทุกข์ฟรีสิ
Life MATTERs : งานพิธีกรงานแรกของคุณคืออะไร
ปอนด์ : รายการ ‘สวย เฉียบ เนี้ยบ’ ที่เวิร์กพอยท์ค่ะ เปิดมารายการแรกก็ได้ทำกับเมย์ เฟื่องอารมย์ มีความสุข เราก็ เฮ้ย นี่มันชีวิตเราจริงๆ เหรอเนี่ย เพราะหน้าตาเรามันก็ไม่ใช่แบบดาราไง แต่ผู้บริหารเขาก็ให้โอกาสเพราะเขาเคยดูใจดีทีวี และพอได้ทำงานพิธีกร ด้วยความที่เราเป็นคนชอบตั้งคำถาม เราคิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้พิธีกรธรรมดาคนหนึ่งต่างจากพิธีกรที่ดีก็คือคำถามที่ดี แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แล้วเราสนุกกับมัน เราไม่เครียดเลยที่จะต้องไปนั่งทำการบ้าน เราสนุกเหมือนเป็นงานอดิเรกของเราด้วยซ้ำ
Life MATTERs : การตั้งคำถามที่ดีต้องมาจากไหน
ปอนด์ : การคิดต้องเป็นระบบ คือบางคนคิดว่าตัวเองตั้งคำถามดีมาก แต่สำหรับเรารู้สึกว่าไร้สาระ ไม่ตรงประเด็น ไม่ตรงจุด มันต้องเป็นคนที่ช่างสังเกต มีรายละเอียดและข้อมูลพื้นฐานของสิ่งนั้น แล้วถามคำถามที่คนฟังได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ การถามว่ารู้สึกยังไงที่ได้รางวัลที่หนึ่ง เขาก็ต้องดีใจเปล่าวะ ถามไปทำไม คำถามแบบนี้คืออย่าเลย มันต้องเป็นคำถามที่แปลก ฉีกประเด็นออกไป เพราะเราให้ความสำคัญกับเวลา เพราะเวลาที่คนมาดูเราเขาเอาไปทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แต่เขามานั่งนิ่งๆ อยู่หน้าทีวี แล้วเราจะให้เขาฟังคำถามประเภทแบบรู้สึกยังไงที่ได้รางวัลงี้เหรอ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ถามคำถามทั่วไปเลยนะ เพราะบางทีรายการโทรทัศน์ก็มีฟอร์แมตของมันอยู่ เพียงแต่เวลาที่เราแทรกคำถามของเราเองเข้าไป มันต้องต่าง เช่นรายการที่เพิ่งไปอัดมา มีน้องคนหนึ่งที่ชีวิตเขาเศร้ามาก ต้องมาร้องเพลงปลดหนี้ให้แม่ แม่เคยชวนฆ่าตัวตาย ฯลฯ ทุกคนก็ร้องไห้ ทุกคนกำลังอินกับความเศร้า เราก็ point out ออกมาว่า แล้วรู้มั้ย ว่าคนเดียวที่ไม่ร้องไห้คือน้องคนนี้นี่แหละ เขาไม่ได้เสียใจกับชีวิตตัวเองขนาดนั้น แต่คนอื่นไปเสียใจกับเขา บางทีไม่ต้องถามหรอก แต่เราชี้ไปที่ประเด็นที่คนอื่นไม่ทันเห็น
พิธีกรที่ดีมันต้องมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น เป็นความกระหายใคร่รู้ของเขาเอง พิธีกรบางคนนั่งคุยกันแล้วรู้เลยว่าเขาอ่านตามสคริปต์ เขาไม่ได้มีความสนใจในตัวแขก เราก็จะไม่สัมผัสได้ถึงความใคร่รู้เกี่ยวกับประเด็นนั้นเลย
Life MATTERs : นอกจากคำถามที่ดีแล้ว พิธีกรที่ดียังต้องมีอะไรอีกบ้าง
ปอนด์ : พิธีกรที่ดีมันต้องมีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น เป็นความกระหายใคร่รู้ของเขาเอง พิธีกรบางคนนั่งคุยกันแล้วรู้เลยว่าเขาอ่านตามสคริปต์ เขาไม่ได้มีความสนใจในตัวแขก เราก็จะไม่สัมผัสได้ถึงความใคร่รู้เกี่ยวกับประเด็นนั้นเลย ซึ่งคนดูก็แปลกมาก สำหรับเรา เวลาคุยกันตัวต่อตัวสิ่งที่เขารับไปจะเป็นคำพูด ถ้าคำพูดฟังดูสวยหรูเขาก็จะรู้สึก แต่พอคนดูเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นมหาชน หรือดูผ่านหน้าจอ สิ่งที่เขารับไปคืออารมณ์ ดังนั้นต่อให้คุณพูดสวยงามแค่ไหนฉันก็เปลี่ยนช่อง เพราะสัมผัสไม่ได้ว่าคุณสนใจเรื่องนั้นจริงๆ ถ้าพิธีกรสนใจแล้วแรงดึงดูดจะมาเอง
แล้วมันก็กลับไปที่เรื่องคำถาม พอสิ่งที่พูดคุยเป็นสิ่งที่มาจากความอยากรู้ของเราเอง บางทีเราจะสนใจ subject จนลืมคำถามที่มีคนเขียนไว้ในสคริปต์ไปเลย เพราะคำตอบข้อนั้นของเขา คือคำถามข้อต่อไปของเรา มันเรียงกันไปโซ่ไปหมดเลย เพราะพิธีกรไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีส่วนกับกระบวนการตั้งคำถาม มาถึงก็อ่านบท พูดไปตามสคริปต์ แต่พิธีกรที่ดี ถึงคุณไม่ได้เขียนคำถามแต่พอคุณได้สคริปต์มา คุณต้องเอาตัวเองไปอยู่ในกระบวนการนั้นด้วยการทำการบ้าน เพราะถ้าไปเจอหน้างานแล้วอีกประเด็นหนึ่งน่าสนใจกว่าที่มีอยู่ในสคริปต์
Life MATTERs : คิดว่าแนวคิดแบบฝรั่งในตัวเอง มีส่วนทำให้งานพิธีกรโดดเด่นไหม
ปอนด์ : คือคำว่าฝรั่งในตัวเอง สำหรับเรามันคือการถึงประเด็นเลย ไม่อ้อมค้อม สมมติว่าเราสัมภาษณ์คนทั้งในรายการหรือในพอดแคสต์ของเรา ไปถึงเราจะเข้าประเด็นเลย บางคนอาจจะมีแบบ ช่วยแนะนำตัวเองหน่อยได้มั้ยคะ ทั้งที่คุยกับติ๊ก เจษฎาภรณ์ นึกออกมั้ย คือรู้กันหมดแล้วป่ะ เอาแต่พอประมาณ แล้วเข้าประเด็นเลย เราเจาะๆๆ สมมติมีเวลาครึ่งชั่วโมง แทนที่จะเอาเวลาสิบนาทีไปปูพื้นในสิ่งที่คนอื่นรู้กันหมดแล้วทำไม จริงๆ มันไม่ใช่ความคิดฝรั่งด้วยซ้ำนะ มันอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นความคิดสายพุทธดีกว่า แม่เราก็พาเข้าวัด เวลาพระเทศน์ก็ถึงความตายเลย นั่นคือประเด็นของชีวิต ไม่ต้องไปวอกแวกเรื่องอื่น ไม่ต้องย้อนไปว่าใครสร้างมนุษย์
Life MATTERs : ตอนเด็ก คุณเป็นคนแบบไหน
ปอนด์ : ตอนเด็กเราก็ว่าธรรมชาติเราไม่ค่อยเหมือนเด็กทั่วไป เราเลยรู้สึกแตกต่าง ไม่ได้รู้สึกเหนือนะ แต่มันแตกต่างแบบว่า เอ๊ะ คุยอะไร ทำไมเราไม่เก็ตบางทีเราพูดอะไรไปเพื่อนก็ไม่ค่อยเก็ต พอเห็นถึงความแตกต่างเราก็เลยเป็นคนที่รับได้และชอบความแตกต่าง เพื่อนตุ๊ด เกย์ คนที่โดนล้อ มีปม เราจะชอบมาก เข้ากับเขาได้เร็วมาก ไอ้พวกพูดไม่รู้เรื่องเนี่ย คุยกับมันรู้เรื่องทุกที
ในความแตกต่างหลากหลาย เราเข้าใจในส่วนที่สัมพันธ์กับตัวเรา ความสุขความทุกข์ของเรา แล้วเราก็ไม่แคร์ในส่วนที่ไม่สัมพันธ์กับเราเลย มันก็ดีเหมือนกันนะ บางทีไม่ต้องไปรู้ซะทุกอย่าง ซึ่งมันก็เคยมีนะ คนเรามันต้องผ่านวัยที่อยากรู้ทุกอย่าง ต้องเข้าใจทุกเรื่อง เสาะแสวงหา
Life MATTERs : ถึงตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความแตกต่างหลากหลายแค่ไหน
ปอนด์ : ในความแตกต่างหลากหลาย เราเข้าใจในส่วนที่สัมพันธ์กับตัวเรา ความสุขความทุกข์ของเรา แล้วเราก็ไม่แคร์ในส่วนที่ไม่สัมพันธ์กับเราเลย มันก็ดีเหมือนกันนะ บางทีไม่ต้องไปรู้ซะทุกอย่าง ซึ่งมันก็เคยมีนะ คนเรามันต้องผ่านวัยที่อยากรู้ทุกอย่าง ต้องเข้าใจทุกเรื่อง เสาะแสวงหา ต้องเหนือ ต้องดี ต้องรู้มากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วชีวิตคนเราก็ต้องเป็นไป เราเลือกรู้เฉพาะสิ่งที่มันเกี่ยวแล้วมันพัฒนาตัวเราเองได้อาจจะดีกว่า
Life MATTERs : นอกจากงานหลักแล้วคุณยังมีรายการของตัวเอง ทั้งพอดแคสต์หรือรีแคป คุณเอาพลังมาจากไหนมากมาย
ปอนด์ : มันว่าง (หัวเราะ) พอว่างแล้วของมันเหลือก็ไม่อยากทิ้งนะ คนที่ชอบดูเราจะรู้จักศัพท์คำว่า หน้าเหลือ สมมติเราไปแต่งหน้าที่ทำงานแล้วหน้าเต็มมาก เหลือกลับบ้านมาจะเช็ดเลยเหรอ เอ้า ก็เลยทำรายการของตัวเองซะหน่อย ของก็เหมือนกันบางทีความคิดสร้างสรรค์มันก็เหลือมา ก็ต้องใช้สักหน่อย
Life MATTERs : เวลาทำงานพิธีกรทีวี กับตอนไลฟ์ส่วนตัว มีกรอบที่แตกต่างกันไหมในการแสดงออก
ปอนด์ : เวลาไลฟ์ส่วนตัวก็ตาม เรามีกรอบบางอย่างของตัวเอง เราถือว่าเวลาพูดอะไรออกไปก็เหมือนเราโยนของลงไปในบ่อน้ำ ถ้าเราโยนของเสียเข้าไป เราก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้น้ำเน่า สมัยก่อนเราไม่แคร์เลยนะ อยากพูดอะไรก็พูด วิจารณ์อะไรก็ทำหมด แต่พอวันนี้ที่เราอายุเท่านี้ แล้วเราอยู่ในจออินเทอร์เน็ตมานาน เรารู้ว่าถึงเราจะไม่ได้สื่อแต่เราก็เป็นส่วนหนึ่ง เราก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ นะ ถ้าคนที่ตามอยู่ 7-8 ปีนี้เราพีคขึ้นพีคลงเรื่อยๆ บางเคส แทนที่จะไปโฟกัสว่าเราไม่ชอบคนนี้ยังไง เราลองโฟกัสว่าแล้วคนนี้มีดียังไงดีกว่า เพราะคนเราอ่ะ มันง่ายนะที่จะมองเห็นข้อเสียของสิ่งต่างๆ สมมติเวลาเห็นผนังสีขาว เราจะมองเห็นจุดดำก่อน แต่เราไม่ค่อยเห็นหรอกว่าอีกมุมหนึ่งเขาทาสีขาวไว้เนียนมากนะ มันยากเหมือนกันนะ มันเหมือนการทวนน้ำ การมองว่าอะไรก็ไม่ดีไปหมดมันง่าย เหมือนตามกระแสน้ำ
เราลองโฟกัสว่าแล้วคนนี้มีดียังไงดีกว่า เพราะคนเราอ่ะ มันง่ายนะที่จะมองเห็นข้อเสียของสิ่งต่างๆ สมมติเวลาเห็นผนังสีขาว เราจะมองเห็นจุดดำก่อน แต่เราไม่ค่อยเห็นหรอกว่าอีกมุมหนึ่งเขาทาสีขาวไว้เนียนมากนะ มันยากเหมือนกันนะ มันเหมือนการทวนน้ำ การมองว่าอะไรก็ไม่ดีไปหมดมันง่าย เหมือนตามกระแสน้ำ
Life MATTERs : เคยรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม
ปอนด์ : เคย มีช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง ที่อยู่ดีๆ ก็ burnout คือพรึ่บ หมดไปเลย ถามตัวเองว่าฉันทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร ไม่มีพลังจะทำอะไรเลย ไม่อยากพูด ไม่อยากไลฟ์ ก็งงๆ กับตัวเอง ตอนนั้นก็รู้แล้วแหละว่านี่คืออาการของคน burnout คือที่ผ่านมาเราบุกๆๆ ไปข้างหน้าจนลืมแก่นว่าเราทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร พอทำไปเยอะๆ ก็จะเป๋ เวลาเราเป็นแบบนี้ก็จะเข้าวัดเข้าวา มันไม่ได้ปลงนะ แต่มันเข้าใจธรรมชาติ คนเราจะเกิดความเข้าใจจากสองอย่างคือ เข้าใจโดยใช้เหตุผลตรรกะ กับเข้าใจเพราะมันเกิดขึ้นกับเรา ความ burnout มันมาแล้วก็ไป ความคิดสร้างสรรค์ก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นได้ คือตอนนี้ถ้ามันจะทุกข์ก็ต้องทุกข์แหละ
Life MATTERs : บาลานซ์ชีวิตบนอินเทอร์เน็ตกับชีวิตจริงของตัวเองยังไง
ปอนด์ : เราไม่ใช่คนที่จะมีใครมาตามกรี๊ด ไม่ใช่คนสวยเกาหลีหรือแบบนักร้องดังๆ เราโชคดีที่คนที่ชื่นชอบเราไม่ใช่คนที่จะมารุกล้ำความเป็นส่วนตัว เป็นคนที่เวลาเจอกันก็จะส่งยิ้มเล็กๆ จากไกลๆ เราเลยไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลย เราไม่เคยมองตัวเองเป็นคนวงการบันเทิง เวลามีคนมาเรียกก็จั๊กจี้ คือเราทำงานพิธีกรแต่เราไม่ใช่ดาราไง เราเป็นผู้สื่อสารมากกว่า